บทที่ 135
บนใบหน้าของพลทหารที่ชูคบไฟอยู่รอบทิศต่างเผยแววตกตะลึงพรึงเพริด แม้แต่พี่น้องสกุลเหลียงชิวก็มีความรู้สึกเดียวกันนี้อยู่หลายส่วนอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง จริงอยู่ว่าพวกเขาเป็นทหารส่วนตัวของหลิงปู้อี๋ ทว่าก่อนหน้านี้ไม่รู้รายละเอียดเบื้องลึกแต่อย่างใด กลับกันเป็นเฉิงเซ่าซางต่างหากที่คิดกระจ่างทุกสิ่งแล้ว นางถอยหลังไปหนึ่งก้าวช้าๆ ยื่นมือจับลำต้นไม้ที่อยู่ด้านข้างเพื่อพยุงร่างกายที่เหมือนถูกดับสิ้นทุกความหวัง
หลิงปู้อี๋มองนางด้วยความระทมทุกข์ “เจ้าทายออกได้อย่างไรหรือ”
ฝ่ามือของเฉิงเซ่าซางแนบไปบนเปลือกไม้ที่หยาบกร้าน กล่าวอย่างเชื่องช้า “มิน่าเล่า เมื่อก่อนท่านจึงไม่ยินดีจะแต่งงาน ในที่สุดข้าก็เข้าใจแล้ว…ข้าเพียงอยู่ข้างกายท่านปีเดียวยังสังเกตพบช่องโหว่หลายจุด หากท่านแต่งงานไปก่อนหน้านี้หลายปี น่ากลัวว่าทุกเรื่องคงจะถูกล่วงรู้ทั้งหมดแล้ว”
หลิงปู้อี๋เอ่ยเสียงเบา “ข้าไม่อยากให้ผู้อื่นมาพลอยเดือดร้อน ข้านึกว่าจะมีวิธีอื่น แต่ที่ผ่านมาล้วนไม่มีเบาะแสเลย จวบจนเมื่อหนึ่งปีก่อนสืบได้ข่าวของบริวารเก่าสกุลฮั่ว ข้าแสนจะตื่นเต้นยินดี ใครจะรู้ว่า…กลับคว้าได้แต่ความว่างเปล่าเช่นเดิม”
“แล้วคำสั่งโยกย้ายทหารหลายแห่งในคืนนี้เล่า นี่ไม่เกี่ยวกับความแค้นระหว่างฮั่วและหลิงสองสกุลกระมัง! หึๆ ท่านช่างทำเรื่องดีนัก เลือดของท่านเย็นชืดชัดๆ…หลิงปู้อี๋ ที่แท้ท่านมีพูดวาจาจริงกับข้าสักประโยคหรือไม่!” ปลายนิ้วของนางออกแรงจิกไปบนเปลือกไม้ เจ็บปวดราวถูกทะลวงใจ
หลิงอี้ที่ถูกกดตรึงอยู่กับพื้นเริ่มเนื้อตัวสั่นระริกอย่างสุดจะระงับยับยั้ง ในดวงตาที่มองไปทางหลิงปู้อี๋ทอประกายตื่นกลัว “เจ้า…เจ้าถึงกับ…จวินหวานาง…” เขาคล้ายฉุกคิดอันใดได้ จึงร่ำไห้ออกมาอย่างหนัก “อาหลี อาหลีของข้า…อาหลีที่น่าสงสารของข้า!”
เฉิงเซ่าซางมองอีกฝ่ายอย่างเฉยเมย คิดในใจว่า อย่างน้อยเรื่องนี้คนสกุลหลิงก็ไม่ได้โป้ปด อาจเป็นความจริงที่หลิงอี้รักใคร่หวงแหนบุตรชายคนโตของเขามาก…ซึ่งก็คืออาหลี ‘ตัวจริง’ ที่เคราะห์ร้ายด่วนจากไปผู้นั้น
หลิงปู้อี๋กล่าว “ท่านอาเขยยังเหมือนเดิมเลยนะ พอรู้ว่ามีศัตรูมาจู่โจม สิ่งแรกสุดที่นึกถึงก็คือเอาตนเองรอด ท่านจงใจจัดวางหน่วยป้องกันแบบผ่อนคลายฝั่งตะวันออกเข้มงวดฝั่งตะวันตก ทำทีว่าเจ้านายสกุลหลิงล้วนอยู่ในเรือนใหญ่ฝั่งตะวันตก แท้ที่จริงตนเองกลับซ่อนตัวอยู่ในห้องลับของเรือนฝั่งตะวันออก ตั้งใจว่าอีกสักครู่จะใช้ทางใต้ดินหลบหนีไป…ท่านอาเขยไม่เปลี่ยนสักนิดจริงๆ กล่าวได้ว่าเค้นเล่ห์มาใช้จนสิ้น”
หลิงอี้โต้กลับอย่างเคียดแค้น “เจ้าเองก็ไม่ยิ่งหย่อน…หลังจากจวินหวาตาย เจ้าแสร้งมาใกล้ชิดกตัญญูต่อข้า หลอกข้าว่าอยากจัดงานวันเกิดให้เพื่อแสดงความกตัญญูในฐานะผู้เป็นบุตร ยังพูดอีกว่าในเมืองหลวงมีฝ่าบาททอดพระเนตรอยู่ ไม่เหมาะจะจัดฉลองเอิกเกริก มิสู้มาที่คฤหาสน์นอกเมืองดีกว่า!” เอ่ยมาถึงตรงนี้เขาก็ขึ้นเสียงอย่างโกรธเกรี้ยว “หลายปีที่ผ่านมาเจ้ามีโอกาสถมเถที่จะฆ่าข้า ไยต้องเปลืองแรงเยี่ยงนี้อีก!”
หลิงปู้อี๋ตอบเสียงเยียบเย็น “ท่านอาเขยยังไม่เข้าใจ ชีวิตสุนัขเยี่ยงท่านชีวิตเดียวนับเป็นอะไรได้ ที่ข้าต้องการคือท่านทั้งตระกูล ในเมืองหลวงจะจัดการเต็มที่ได้อย่างไรเล่า”
หลิงอี้ทั้งตระหนกทั้งพรั่นพรึง ตะโกนเสียงลั่น “พวกเขามีความผิดอันใดกัน! เจ้าไยต้องจองล้างจองผลาญให้สิ้น!”
หลิงปู้อี๋กล่าว “หลิงอี้ เรื่องในตอนนั้นไม่ใช่ฝีมือเจ้าคนเดียวเสียหน่อย พวกเจ้าสามคนพี่น้องร่วมแรงร่วมใจแยกย้ายกันกระทำการ คนหนึ่งชักนำข้าศึกเข้าเมือง คนหนึ่งสังหารเด็กสตรีฆ่าคนปิดปาก ส่วนเจ้า…ฉวยตอนที่ท่านพ่อข้าไม่ทันป้องกันหาจังหวะปองร้าย! เจ้าคงไม่รู้สินะ ตอนนั้นข้าหลบอยู่ที่ช่องลับในห้องหนังสือของท่านพ่อนั่นเอง!”
หลิงอี้อ้าปากสูดลมเข้าปอดเฮือกหนึ่ง เดิมทีเขาคิดว่าตอนนั้นหลิงปู้อี๋ยังเด็ก ไม่แน่ว่าจะรู้รายละเอียดเบื้องลึกจึงยังคิดจะอ้อนวอนดูสักหน่อย นึกไม่ถึงว่าเรื่องของตนในตอนนั้นกลับถูกเด็กน้อยผู้หนึ่งเห็นอยู่ในสายตาทุกอย่าง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อ้อนวอนอันใดล้วนเปล่าประโยชน์แล้ว
“หลิงอี้ เจ้ายังไม่ก้มหัวยอมรับผิดอีก!” หลิงปู้อี๋เดินหน้าไปหนึ่งก้าว พร้อมกับตวาดเสียงกร้าว
หลิงอี้มีไหวพริบถึงขั้นใด เพียงเวลาชั่วประกายไฟแลบ ความคิดก็วาบขึ้นในหัว พูดโพล่งออกจากปากไปทันที “เรื่องคืนนี้ฝ่าบาททรงทราบหรือไม่”
เฉิงเซ่าซางตะลึงวูบ เดิมนางเพียงวิตกเรื่องโยกย้ายทหาร บัดนี้กลับพบว่ายังมีเรื่องน่าเป็นห่วงที่ใหญ่กว่าซ่อนแฝงอยู่