ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย
ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย บทที่ 135
หลิงปู้อี๋ชะงักเท้า “ข้าต้องไว้ทุกข์สามปี รอไม่ได้แล้ว”
หลิงอี้หัวเราะร่วน “ไม่ใช่กระมัง ฝ่าบาททรงไม่ทราบเรื่องคืนนี้แต่อย่างใด! ไว้ทุกข์สามปี? รอไม่ได้แล้ว? ฮ่าๆๆ ก็ถูกต้อง และก็ไม่ถูกต้อง…ข้าเคยพูดว่ารอจนบุตรีสกุลเฉิงกับท่านหญิงอวี้ชังต่างให้กำเนิดบุตร ข้าจะพาคนทั้งตระกูลกลับภูมิลำเนาไปเซ่นไหว้บรรพชน ปลอบประโลมบุพการีที่ด่วนล่วงลับ หากเจ้าต้องการคนทั้งตระกูลของข้า สามารถลงมือระหว่างทางได้อย่างเต็มที่! ถึงตอนนั้นมือเท้าจัดการให้สะอาดหน่อยแล้วอ้างว่าเป็นฝีมือโจร ย่อมดีกว่าคืนนี้ที่ใช้กำลังทหารโฉ่งฉ่างอยู่ไม่ไกลกำแพงเมืองหลวง!”
ดูเหมือนบุรุษวัยกลางคนที่อยู่ใต้แสงเพลิงจะคิดได้ชัดแจ้งทุกสิ่งแล้ว จึงหัวเราะอย่างกำเริบเสิบสานและกระหยิ่มได้ใจ
“เจ้ารอไม่ได้แล้วจริงๆ ทว่าไม่ใช่เพราะรอไว้ทุกข์สามปีไม่ได้ หากแต่ไม่อาจรอจนเห็นสกุลหลิงแตกกิ่งก้านสาขา สืบทายาทไม่ขาดสาย! ลูกสะใภ้หลายคนของบ้านน้องรองกับน้องสาม หากไม่ใช่กำลังตั้งครรภ์ก็คือคลอดบุตรชายออกมาแล้ว รอจนท่านหญิงอวี้ชังแต่งเข้ามา ในหมู่ทายาทสกุลหลิงก็จะมีสายเลือดราชวงศ์…บุตรหลานยิ่งนานวันยิ่งทวีจำนวน เครือญาติยิ่งเกี่ยวดองยิ่งกว้างขวาง เจ้าก็จะลงมือลำบากยิ่งขึ้นทุกที! ดังนั้นที่เจ้าต้องลงมือก่อนไว้ทุกข์ก็เพราะกลัวว่าที่พึ่งพิงของสกุลหลิงข้าจะยิ่งแข็งแกร่ง! ใช่หรือไม่เล่า!”
หลิงปู้อี๋ลอบถอนใจ หลับตาแล้วลืมขึ้นอีกหน เห็นดวงหน้าของเด็กสาวที่อยู่อีกด้านฉาบด้วยความสับสนระคนหวาดกลัว หัวใจของเขาก็บีบรัดจนปวดแปลบสาหัส…ความหวังสุดท้ายได้พังทลายสิ้นแล้ว
หลิงอี้สับเปลี่ยนโฉมหน้า ในดวงตาบรรจุความกลอกกลิ้งอำมหิต ทั้งที่ปั้นอารมณ์บนใบหน้าเฉกบิดาผู้รวดร้าวถึงขั้วหัวใจ ปากเอ่ยอย่างตรอมตรม “อาหลี ตอนนั้นเจ้าเพิ่งห้าหกขวบ จะรู้เรื่องอะไรที่ใดกันเล่า ย่อมเป็นมารดาเจ้าบอกสิ่งใด เจ้าก็เชื่อไปตามนั้น! ทว่ามารดาเจ้าชิงชังข้าเข้ากระดูก แค้นที่ข้าปันใจมีผู้อื่น แค้นที่ข้าแต่งฉุนอวี๋ซื่อเป็นภรรยา ดังนั้นจึงกุเรื่องอันโหดเหี้ยมมากมายมาหลอกให้เจ้าเกลียดแค้นข้า! อาหลี พ่อไม่โทษเจ้า แต่เจ้าจะเลอะเลือนไม่ได้ อย่าได้ถูกมารดาเจ้าหลอกลวงจนกระทำผิดมหันต์ฐานสังหารบิดาเป็นอันขาด!”
ในใจเฉิงเซ่าซางยุ่งเหยิง จึงไม่เข้าใจว่าเหตุใดหลิงอี้ยังต้องเสแสร้งเช่นนี้อีก ผิดกับหลิงปู้อี๋ที่ในใจกระจ่างชัด เขาส่งสัญญาณมือไปทางด้านหลังของตน เหลียงชิวฉี่ก็รีบปลดกระบี่ยาวรุ้งขาวที่สะพายอยู่บนแผ่นหลังลงมา แล้วใช้สองมือประคองมาถึงตรงหน้าผู้เป็นนาย
หลิงปู้อี๋พลิกข้อมือเบาๆ ประกายเงินหนึ่งสายก็ฉายวาบขึ้น เขาได้ชักกระบี่สับเชือกบนร่างหลิงอี้ขาดเป็นที่เรียบร้อย ก่อนเอ่ยเรียบๆ “เจ้าไม่ต้องเสแสร้งแล้ว อาเฟย ให้กระบี่เขาเล่มหนึ่ง หลิงอี้ วันนี้เจ้ากับข้ามาสะสางกัน”
หลิงอี้ไม่ยอมเก็บกระบี่ที่เหลียงชิวเฟยโยนลงบนพื้น ยังคงร่ำไห้อย่างปวดใจต่อ
เหลียงชิวเฟยเดินขึ้นหน้าไปกล่าวอย่างหงุดหงิด “รีบหยิบกระบี่ขึ้นมา อย่ามัวยืดยาด…”
เขากับพี่ชายเป็นทายาทกำพร้าของทหารสังกัดสกุลฮั่วที่รบมาหลายศึกจนกระทั่งพลีชีพ สกุลฮั่วจึงให้การอุปการะเรื่อยมา ปีที่หลิงปู้อี๋เพิ่งเข้าวังได้ขอร้องฮ่องเต้ให้ตามพวกเขามาเป็นทหารส่วนตัว ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าหลิงปู้อี๋พูดอันใด พวกเขาย่อมจะปฏิบัติตามนั้น
ใครจะรู้หลิงอี้ที่กำลังร่ำไห้พลันกระโจนขึ้น พลิกตัวบิดแขนหนึ่งหนก็ฉวยกระบี่บนพื้นเล่มนั้นมาจ่อลำคอเหลียงชิวเฟย แล้วเอ่ยอย่างร้ายลึก “ลูกเนรคุณ แม้เจ้าอกตัญญูยิ่งยวด ทว่าข้าผู้เป็นบิดาไม่อาจถือสาหาความกับเจ้า จงหลีกไปให้ไว ข้าจะออก…”
เสียงพูดไม่ทันขาดคำ เพียงเห็นหลิงปู้อี๋สะบัดข้อมือเบาๆ ประกายเงินในมือก็ส่ายออกเป็นบุปผากระบี่อันจับตาหนึ่งสาย ส่วนตัวกระบี่เป็นเช่นห่านป่าเตลิดพุ่งไปหาหลิงอี้ เสียบเข้าลำคออย่างถนัดถนี่ โลหิตสดไหลพรากๆ ออกจากปากแผล ดวงตาที่เบิกโพลงของหลิงอี้ตื่นผวาคล้ายไม่อาจเชื่อในเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ จากนั้นร่างก็ค่อยๆ ทรุดระทวยฟุบลงกับพื้น
หาช่องใช้ทางลัดมาทั้งชาติ เล่นเล่ห์ปลิ้นปล้อนมาทั้งชีวิต บัดนี้ล้วนแปรสภาพเป็นกองเลือดเนื้อที่ไร้ลมหายใจเยี่ยงนี้เสียแล้ว
เฉิงเซ่าซางเอาสองมือป้องปาก ถอยหลังไปหลายก้าวอย่างไม่อาจควบคุมตนเอง
หลิงปู้อี๋เดินเนิบนาบไปถึงข้างกายนาง ในดวงตาคล้ายมีประกายน้ำสั่นไหว “เซ่าซาง ข้าไม่มีทางถอยแล้ว”
ในใจเฉิงเซ่าซางแสนคับแค้น จึงเอ่ยเสียงดังก้อง “เดิมทีท่านมีทางถอยได้! เดิมทีท่านมีหนทางมากมายให้เดินได้!”
หลิงปู้อี๋กล่าว “ความแค้นที่ถูกฆ่าล้างตระกูล ข้ามิอาจไม่ชำระ หนทางมีมากสักเพียงใด ข้าก็จำต้องเดินทางสายนี้!”
เฉิงเซ่าซางตะโกนปนร่ำไห้อย่างสุดจะข่มกลั้น “เช่นนั้นข้าเล่า! ท่านเคยคิดอ่านเพื่อข้าหรือไม่! ในเมื่อท่านจะสละชีวิตไปล้างแค้น แล้วท่านอุตส่าห์มาตอแยข้าเพื่ออะไร! นี่เกี่ยวอันใดกับข้าด้วย! ท่านมันคนสารเลวที่สมควรตาย หลิงปู้อี๋ ที่แท้ท่านมีพูดวาจาจริงกับข้าสักประโยคหรือไม่กันแน่!”
หลิงปู้อี๋ไม่ได้ตอบคำ สองตาเอ่อท้นด้วยความเศร้าสลด
เฉิงเซ่าซางปาดน้ำตาบนดวงหน้า หมุนกายจะออกเดิน ทว่าหลิงปู้อี๋กุมแขนนางไว้แล้วถามปนหอบ “เจ้าจะไปที่ใด”
นางหันหน้ามาเยาะหยัน “ท่านต้องการเอาอย่างบุตรกำพร้าสกุลจ้าว* สู้ทนฝึกฝนให้เหนือผู้อื่นเพียงเพื่อจะชำระแค้น ข้าไม่ขอบ้าคลั่งเป็นเพื่อนท่านด้วยหรอก ใต้เท้าหลิง อ้อ ไม่สิ เป็นใต้เท้าฮั่ว ท่านกับข้าลาจากกันตรงนี้ ไม่ต้องส่ง!”
หลิงปู้อี๋กุมแขนนางไว้แน่น นัยน์ตาเรียวยาวชวนมองทอแวววิงวอน เฉิงเซ่าซางรู้ว่าเขากำลังวอนขอให้นางอย่าจากเขาไป…น่าเสียดาย นางคือผู้ที่แล้งน้ำใจไร้ไมตรีที่สุดในใต้หล้านี้