นางออกแรงสลัดแขน แล้วพูดประชด “ท่านยังคงรีบไปไล่ฆ่าคนสกุลหลิงที่เหลือเถิด ก่อนที่ข้าจะมาได้ส่งคนเข้าวังไปฟ้องร้องความผิดปกติของท่านแล้ว กองทัพของฝ่าบาทจะบุกมาถึงในไม่ช้า ถึงตอนนั้นอย่าว่าแต่สกุลหลิงทั้งตระกูลเลย เกรงว่าแค่หลิงเหล่าเอ้อร์กับหลิงเหล่าซันน้องชายสองคนของหลิงอี้ ก็ไม่แน่ว่าท่านจะกำจัดได้สำเร็จ!”
ราวกับเพื่อยืนยันคำพูดของนาง พลทหารนายหนึ่งพลันวิ่งมารายงานอย่างเร่งร้อน “เรียนนายน้อย ทิศทางของเมืองหลวงมีกำลังพลกลุ่มใหญ่บุกตรงมาขอรับ!”
ไม่รอให้หลิงปู้อี๋ตัดสินใจ พลทหารอีกนายหนึ่งก็วิ่งฉิวมาจากด้านข้าง “เรียนนายน้อย เรือนฝั่งตะวันตกกวาดล้างเสร็จสิ้น เด็กสตรีล้วนถูกเฝ้าคุม บุรุษที่เหลือมิใช่ถูกสังหารก็ยอมจำนนแล้ว เพียงแต่น้องชายสองคนของเฉิงหยางโหวอาศัยที่ฟ้ามืดนำนักรบเดนตายกลุ่มหนึ่งฝ่าวงล้อมออกไปจนได้ กำลังหนีมุ่งไปทางหน้าผาขอรับ!”
เหลียงชิวฉี่คุกเข่าลงข้างหนึ่ง ก่อนเอ่ยเสียงหนัก “นายน้อย ที่นี่ไม่เหมาะจะรั้งอยู่นาน อีกอย่างเด็กสตรีเหล่านั้นจะให้จัดการตามคำสั่งก่อนหน้านี้หรือไม่ขอรับ”
เฉิงเซ่าซางเอ่ยอย่างตื่นตระหนก “อะไรกัน นี่ท่านยังจะฆ่าเด็กสตรีสกุลหลิงให้ได้?!”
“เหตุใดจะไม่ได้เล่า!” ไอสังหารกำจายทั่วดวงหน้าของหลิงปู้อี๋ “สกุลฮั่วถูกฆ่าล้างทั้งตระกูล ก็สมควรจะใช้ตาต่อตาฟันต่อฟัน ใช้เลือดล้างเลือด! พวกเขาล้วนกินดื่มเลือดเนื้อคนสกุลฮั่วจึงได้มีชีวิตอยู่ทุกวันนี้ สมควรจะรับโทษเดียวกัน!”
เฉิงเซ่าซางพลิกมือมาดึงเขาไว้พลางเอ่ยเสียงสั่น “ท่านอย่าทำเช่นนี้เลยนะ ท่านไม่ใช่คนเยี่ยงนี้ หลิงอี้เป็นสัตว์ เป็นเดรัจฉาน แต่ท่านไม่ใช่!”
หลิงปู้อี๋พิศมองนางอยู่เนิ่นนาน ไอสังหารบนร่างก็ค่อยๆ ลดทอนหายไป
“นายน้อย…” เหลียงชิวเฟยกล่าวอย่างร้อนใจ “โปรดรีบตัดสินใจเถิด”
ไกลออกไปเริ่มแว่วเสียงปะทะกันของอาวุธแล้ว เสียงเกือกม้าย่ำพื้นกับเสียงตะโกนเข่นฆ่าก็ดังใกล้เข้ามาทุกขณะ
ยามนี้สีหน้าของหลิงปู้อี๋พลันแปรเปลี่ยน อารมณ์เศร้าตรม เจ็บปวด ความอาวรณ์ที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ รวมถึงความอ่อนโยนทุกสายใยล้วนอันตรธานไม่เห็นอีก สิ่งที่มาแทนที่คือความเด็ดขาดที่จะทุบหม้อข้าวจมเรือ*
เขาคลี่ยิ้มให้นาง “เซ่าซาง เจ้ากลัวหรือไม่ เจ้าเคยพูดว่าจะดีกับข้า คืนนี้พวกเราก็ไปด้วยกันเถิด”
เฉิงเซ่าซางกล่าวเสียงแหลม ไม่กล้าเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน “ท่านว่าอะไรนะ! ไม่ๆ ปล่อยข้า ข้าจะไม่เอาชีวิตไปทิ้งกับท่านหรอก! ท่านปล่อยข้านะ!”
ทว่านางหรือจะเป็นคู่ต่อสู้ของหลิงปู้อี๋ได้ สองมือของเขาเพียงออกแรงเล็กน้อยก็สยบนางอยู่ในอ้อมอก บนร่างนางราวถูกรัดด้วยบ่วงเหล็กสุดจะขยับเขยื้อนได้ จากนั้นฟ้าดินหมุนคว้างรอบหนึ่ง นางก็ถูกเขาใช้มือเดียวยกขึ้นพาดบ่าแล้ว
องครักษ์หญิงสี่นางเห็นเช่นนั้นก็หมายจะมาขัดขวาง ทว่ากลับถูกพวกเหลียงชิวฉี่โจมตีทรุดลงกับพื้นในทันที
เฉิงเซ่าซางกรีดร้อง ทุบตีหลังไหล่ของหลิงปู้อี๋ไม่หยุดยั้ง หลิงปู้อี๋จึงฉวยเชือกป่านเส้นหนึ่งจากถุงข้างอานม้ามามัดข้อมือสองข้างของนางติดกัน ก่อนอุ้มพาเด็กสาวขึ้นไปบนม้าพาหนะ ม้าตัวนี้ของเขาเป็นยอดอาชาที่หาไม่ได้แม้หนึ่งในหมื่น ท้องกิเลนอกพยัคฆ์ หัวมังกรเชิดสง่า เปรียบกับมันแล้ว ม้าน้อยลายโคนมตัวนั้นของนางก็ไม่ต่างจากสัตว์เลี้ยงในบ้านที่แสนซื่อตัวหนึ่ง
มือขวาของเขากอดกระชับนางไว้แนบอก มือซ้ายพอกระตุกสายบังเหียน ยอดอาชาก็แหงนศีรษะแผดร้อง กีบเท้าทั้งสี่ย่ำหิมะ ควบนำลิ่วไม่เห็นฝุ่น นางเพียงรู้สึกว่าสองหูกรอกด้วยสายลม รอบกายดุจขี่หมอกทะยานเมฆ รวดเร็วปานพายุสายฟ้า
เบื้องนอกคือกระแสลมแรงเหน็บหนาว คมกริบดั่งคมดาบบาดผิวให้เจ็บแปลบ นางไร้ที่ให้หลบซ่อน ได้แต่ซุกอยู่ในอ้อมอกกว้าง
นางอยากจะใช้มีดแหลมกรีดเปิดแผงอกนี้ ดูว่าหัวใจที่อยู่ใต้เลือดเนื้อดวงนั้นหน้าตาเป็นเช่นไรกันแน่ เขาพร่ำบอกอยู่ทุกคำว่าเห็นนางเป็นสิ่งสูงค่า ไฉนกลับปิดบังทำร้ายนางเยี่ยงนี้ได้ลง
นางยังอยากจะเปลือยเท้าวิ่งตะบึงไปจนถึงยอดสุดของภูเขา ขอบสุดของทะเล ไปยังจุดที่ไร้ผู้คนแล้วร่ำไห้ให้หนัก ระบายความเจ็บช้ำน้ำใจที่ตนได้รับ นับแต่นี้จากผู้คนไปอยู่โดยลำพัง ไม่ขอพบเจอใครผู้ใดอีก ไม่ขอเชื่อใจใครอีกต่อไป
นางคั่งแค้น โกรธเกรี้ยว ชิงชังทุกสิ่ง ทว่านอกจากน้ำตาที่เย็นเฉียบนองหน้าแล้ว กลับจนปัญญาโดยสิ้นเชิง
ครั้นใกล้จะถึงหน้าผา ภายใต้คบไฟสว่างไสว แลเห็นนักรบเดนตายที่เหี้ยมหาญกลุ่มหนึ่งคุ้มกันหลิงเหล่าเอ้อร์กับหลิงเหล่าซันอยู่ กำลังสู้กับกองทหารของหลิงปู้อี๋แบบสู้ไปถอยไป
หลิงปู้อี๋ใช้เชือกป่านที่เหลือพันตัวเฉิงเซ่าซางหลายรอบ มัดให้อยู่ในอ้อมอกของเขาอย่างแน่นหนา จากนั้นเจียดมือขวาไปฉวยทวนวงเดือนทองหงส์ชาดค้ำนภาที่สาดรัศมีทั่วทิศจากบนอานม้า ตวาดหนึ่งเสียงแล้วบุกเข้าสังหาร
เฉิงเซ่าซางหลับสองตาสนิทแน่น ทุกหนแห่งคละเคล้าไปด้วยเสียงแผดด่า เสียงอุทานตื่นตระหนก ตลอดจนเสียงอันน่าพรั่นพรึงของอาวุธที่ปะทะกัน