ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย บทที่ 135 – หน้า 4 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย

ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย บทที่ 135

4 of 4หน้าถัดไป

จู่ๆ ตัวม้าก็ส่ายโคลงอย่างรุนแรง นางลืมตาเงยหน้าขึ้นทันใด เพียงเห็นใต้แสงจันทร์สีโลหิต บนดวงหน้าที่เคยขาวหมดจดงามสง่าปานเทพสวรรค์นั้นย้อมไปด้วยคราบเลือดเป็นแต้มๆ เฉกสัตว์อสูรบรรพกาลตัวหนึ่งเผยรูปลักษณ์อันดุร้ายออกมาจนสิ้น นางตัวสั่นระริกดุจเด็กน้อย ขดร่างตนเองจนเป็นกลุ่มเล็กๆ ถูกปกคลุมมิดชิดอยู่ภายใต้เรือนกายอันสูงใหญ่กร้าวแกร่ง

ทวนวงเดือนยาวตวัดออกไปแล้ว หลิงเหล่าซันไม่ทันร้องอุทานก็ถูกสับเป็นสองท่อน โลหิตฉีดกระจาย หลิงเหล่าเอ้อร์รีบตบสะโพกม้าสุดแรงราวคลุ้มคลั่ง ควบหนีไปยังหน้าผาอย่างลนลานโดยไม่เลือกทาง นักรบเดนตายที่เหลือต่างพากันติดตามไป

หลิงปู้อี๋วกเก็บทวนวงเดือนยาว กระตุ้นม้าไล่กวดไปเช่นกัน ตอนนี้เองทหารทางการที่ไล่หลังมาได้บุกมาถึงแล้ว

แม่ทัพเกราะทองหนึ่งในผู้นำทัพนั้นเฉิงเซ่าซางคุ้นตายิ่ง ก็คือแม่ทัพผู้หนึ่งของหน่วยพยัคฆ์เผ่น เขาตะโกนไปทางหลิงปู้อี๋อย่างรุ่มร้อนใจ “เว่ยเจียงจวินอย่าได้วู่วาม ไม่ว่ามีเรื่องใดพูดคุยกันดีๆ เถิด ฝ่าบาทจะทรงออกหน้าให้ท่านเอง! ทหาร! จงเร่งสกัดพวกเขาไว้!”

แม่ทัพเกราะเขียวอีกผู้หนึ่งกลับเอ่ยเสียงเย็นชา “จะพูดพล่ามไปไย! หลิงปู้อี๋สังหารบิดา ใช้ทหารโดยพลการ กระทำผิดอุกฉกรรจ์ ใครก็ปกป้องเขาไม่ได้! ทหารจงฟังบัญชาข้า หากหลิงปู้อี๋ไม่ยอมจำนน ยิงสังหารได้อย่างเต็มที่!”

แม่ทัพเกราะทองเดือดดาล “เป็นบ้าอะไรของเจ้า! ฝ่าบาทเคยตรัสเมื่อไรว่าต้องการชีวิตของหลิงปู้อี๋!”

แม่ทัพเกราะเขียวแย้ง “แต่ฝ่าบาทก็ไม่ได้ตรัสว่าห้ามเอาชีวิตเขานี่! คืนนี้หกค่ายทหารโกลาหลหนัก แม่ทัพหลายท่านในค่ายใหญ่ผานชิ่งกับค่ายใหญ่ตงไถนึกว่าข้าศึกมาโจมตี เกือบระดมกำลังพลทั้งหมดออกมาด้วยซ้ำ! จนถึงขั้นนี้หลิงปู้อี๋ยังดื้อด้านต่อต้าน หรือว่ากฎกองทัพกับอาญาบ้านเมืองล้วนวางเป็นเครื่องตกแต่งไปอย่างนั้นเอง?!” วาจาแม้กล่าวเช่นนี้ แต่จนถึงที่สุดเขาก็ไม่ได้สั่งให้ยิงเกาทัณฑ์ออกไป

เฉิงเซ่าซางเรือนผมรุ่ยร่าย กล่าวเสียงแหบเครือไปทางเหนือศีรษะ “ท่านหยุดมือเร็วเข้าเถิด ชี้แจงกับฝ่าบาทดีๆ พระองค์เป็นคนพระทัยอ่อนเห็นแก่ไมตรี จะต้องทรงผ่อนปรนเปิดทางออกให้ท่านสายหนึ่งแน่!”

“มิผิด ฝ่าบาททรงพระทัยอ่อนเห็นแก่ไมตรี” หลิงปู้อี๋เอ่ยเสียงเบา “เผิงเจินก่อกบฏที่โซ่วชุน กระทำผิดใหญ่หลวงถึงเพียงนั้นก็ไม่ถูกประหารทั้งตระกูล…ข้าจึงได้แต่ลงมือเองเท่านั้น”

เอ่ยมาถึงตรงนี้เขาพลันเพิ่มระดับเสียง เปลี่ยนเป็นต่อว่าเสียงกร้าว “สตรีใจจืดใจดำเยี่ยงเจ้า ในเมื่อไม่ยินยอมร่วมเป็นร่วมตายกับข้า รั้งเจ้าไว้จะมีประโยชน์ใด!”

เฉิงเซ่าซางตะลึงงัน

หลิงปู้อี๋ชักมีดสั้นตัดเชือกป่านที่รัดพันอยู่บนร่างของคนทั้งสองขาดในคราวเดียว ประหนึ่งเฉือนสะบั้นสายรกที่เชื่อมโยงเลือดเนื้อของกันและกันไว้ แล้วกระตุกเสื้อคลุมขนสัตว์ของเขามาห่อหุ้มบนร่างนาง

เฉิงเซ่าซางยังไม่ทันจะเข้าใจว่าเป็นเรื่องราวใด เพียงรู้สึกว่าเหนือศีรษะถูกจุมพิตเบาๆ หนึ่งหน ก่อนได้ยินเขากระซิบที่ริมหู “นับแต่นี้ไม่พบกันอีก”

จากนั้นนางก็ถูกโยนสูงออกไป ลอยละลิ่วจนวิงเวียน แล้วร่วงลงบนพื้นอย่างหนักหน่วง

ที่นี่เต็มไปด้วยหินภูเขา ทว่าจุดที่นางร่วงสัมผัสพื้นกลับเป็นกองหญ้าแห้งอันอ่อนนุ่ม แรงปะทะส่งให้นางกลิ้งต่อไปหลายตลบกว่าจะหยุดลงได้ นางรู้สึกปวดร้าวไปทั่วสรรพางค์กาย กระดูกเส้นเอ็นราวจะหักขาด ทว่าชั่วขณะนี้นางไม่มัวมาตรวจดูอาการบาดเจ็บของตน เพียงข่มทนความเจ็บปวดสาหัส หยัดกายขึ้นมองไปยังบริเวณที่มีแสงสว่าง

หลิงปู้อี๋นั่งตัวตรงอยู่บนอานม้าด้วยท่าทางทระนงและเด็ดเดี่ยว

ดูเหมือนเขาจะพูดอะไรบางอย่างกับแม่ทัพสองคนที่ไล่ตามมา จากนั้นโบกมือให้พี่น้องสกุลเหลียงชิวกับเหล่าทหารของเขาวางอาวุธยอมจำนน ยามที่คนทั้งหมดนึกว่าเรื่องราวยุติลงแล้ว เขากลับกระตุกสายบังเหียนดึงตัวม้าขึ้นสูง พลันวกหัวม้าไปล่าสังหารหลิงเหล่าเอ้อร์ต่อ

แม่ทัพเกราะทองอึ้งงันไปชั่วขณะ ผิดกับแม่ทัพเกราะเขียวที่รีบตวาดสั่งให้ผู้ใต้บัญชากรูตามเขาไปดุจกระแสน้ำ

หลิงเหล่าเอ้อร์เห็นว่าสิ้นหนทางแล้ว จึงให้นักรบเดนตายที่เหลืออยู่เพียงหกเจ็ดคนล้อมตนไว้ หลิงปู้อี๋หนึ่งคนกับหนึ่งม้ารุกไล่ไปพลางตวัดซ้ายผ่าขวาไปพลาง เพียงไม่กี่หนก็กำจัดนักรบเดนตายจนไม่เหลือ ขณะจะจู่โจมไปยังศีรษะของหลิงเหล่าเอ้อร์นั่นเอง แม่ทัพเกราะเขียวกับรองแม่ทัพของเขาก็ไล่มาทันอย่างฉิวเฉียด

อาวุธของแม่ทัพเกราะเขียวคือค้อนคู่ตะขอเหล็ก ส่วนรองแม่ทัพของเขาใช้ดาบใหญ่ด้ามยาวเล่มหนึ่ง เห็นชัดว่าหลิงปู้อี๋สัมผัสได้ถึงเสียงลมจากอาวุธที่ตวัดมาทางด้านหลัง ขอเพียงหมุนตัวไปสกัดไว้ก็เรียบร้อย ทว่าเขากลับยังคงฟันอาวุธลงไปหาหลิงเหล่าเอ้อร์โดยไม่สนใจอันใดทั้งสิ้น

ภาพฉากนี้เขย่าขวัญสั่นคลอนหัวใจ แม่ทัพทหารหาญที่รายล้อมอยู่ชั้นแล้วชั้นเล่าต่างจรดจ้องไปที่ริมหน้าผา…
เริ่มจากหลิงเหล่าเอ้อร์ถูกประกายสีทองสายหนึ่งฟันเฉียงกุดลำคอ ศีรษะกับร่างกายแยกจากกันในพริบตา ขณะที่ศีรษะกลิ้งหลุนๆ ลงไปตามเนินเขา หนึ่งค้อนกับหนึ่งดาบของแม่ทัพเกราะเขียวกับรองแม่ทัพก็โจมตีถูกแผ่นหลังของหลิงปู้อี๋โดยพร้อมเพรียง!

แม่ทัพทหารหาญโดยรอบพร้อมใจกันร้องอุทานอย่างตื่นตระหนก เสียงร้องของพี่น้องสกุลเหลียงชิวแหลมสูงโศกสลดยิ่งกว่าใคร

แม่ทัพเกราะเขียวรู้จักฝีมือของหลิงปู้อี๋ดี ไม่ได้คาดคิดว่าจะโจมตีสำเร็จในคราวเดียว ชั่วขณะนั้นจึงตะลึงค้างอยู่กับที่

สองตาของเฉิงเซ่าซางพร่าเลือน ไม่รู้เป็นเพราะน้ำตาหรือเพราะเลือดที่ไหลลงจากหน้าผาก สองฝ่ามือของนางถลอกปอกเปิกตั้งแต่ตอนที่กลิ้งตัวหลายตลบ กระนั้นกลับยังค้ำอยู่บนพื้นซึ่งมีเศษหินตะปุ่มตะป่ำอย่างไม่รู้จักความเจ็บปวด

นางรีบยกหลังมือขึ้นเช็ดตาแรงๆ เสี้ยวอึดใจที่ลดมือลง กลับเห็นเงาร่างสีแดงเข้มลายทองอ่อนสายนั้นพลัดตกจากหลังม้า กลิ้งลงหน้าผาไปต่อหน้าต่อตานาง

ชั่วขณะที่เขาพลัดตก ทวนวงเดือนทองหงส์ชาดค้ำนภาหลุดจากมือปักเฉียงอยู่บนพื้น ใบมีดข้างคมทวนซึ่งดูคล้ายปีกหงส์คู่ฉายรัศมีทองอร่ามตานั้นยังคงสั่นสะท้านนิดๆ ท่ามกลางสายลมหนาว

กระแสความคิดพลันย้อนทวนสู่ปีที่แล้วในช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกัน ยามนั้นก็เป็นช่วงต้นฤดูวสันต์ที่ยังหนาวเย็น ยามนั้นก็มีร่างคนตายเกลื่อนป่าเขา ในบ้านพรานป่า…นางถอนเกาทัณฑ์หักจากแผ่นหลังของเขา เขาเหลียวใบหน้ามาคลี่ยิ้มน้อยๆ ให้นาง ถามนางว่าเจ็บมือหรือไม่

รอยยิ้มของเขาในตอนนั้นละมุนละไม ฝากความนัยอันลึกซึ้ง เพียงแรกมองดั่งรู้จักมานับหมื่นปี

นางทรุดฮวบ ศีรษะคะมำลง ไม่อาจรับรู้อันใดอีก

 

* บุตรกำพร้าสกุลจ้าว หมายถึงจ้าวอู่ ขุนนางแคว้นจิ้นยุคชุนชิว บิดาของเขาถูกแม่ทัพใหญ่ถูอั้นกู่ให้ร้าย สกุลจ้าวสามร้อยกว่าชีวิตถูกสังหาร คงเหลือเพียงจ้าวอู่ที่แม้เป็นทารกแบเบาะก็ยังถูกตามฆ่า ได้ผู้ที่ไม่หวั่นเกรงต่ออำนาจหลายคนสละชีวิตช่วยเหลือ ยี่สิบปีให้หลังจ้าวอู่เติบใหญ่จับกุมถูอั้นกู่มาประหาร ล้างแค้นให้คนทั้งตระกูลได้ในที่สุด

* ทุบหม้อข้าวจมเรือ หมายถึงตัดสินใจเด็ดขาดที่จะต่อสู้จนถึงที่สุดโดยไม่ถอยหลังกลับ มีที่มาจากยุทธการที่จวี้ลู่ ศึกนั้นฝ่ายเซี่ยงอวี่ (ฉู่ป้าหวัง หรือฌ้อปาอ๋อง) หมายต่อต้านราชวงศ์ฉินทว่ามีกำลังคนน้อยกว่า เมื่อข้ามแม่น้ำแล้วจึงสั่งให้ทุบหม้อข้าวจมเรือของฝ่ายตนทิ้งไปเพื่อปลุกขวัญทหารให้สู้ตายไม่ถอยหนี จนทำให้มีชัยเหนือฝ่ายฉินในที่สุด

 

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 22 .. 66 เวลา 12.00 .

 

4 of 4หน้าถัดไป

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com