ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย
ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย บทที่ 135
จู่ๆ ตัวม้าก็ส่ายโคลงอย่างรุนแรง นางลืมตาเงยหน้าขึ้นทันใด เพียงเห็นใต้แสงจันทร์สีโลหิต บนดวงหน้าที่เคยขาวหมดจดงามสง่าปานเทพสวรรค์นั้นย้อมไปด้วยคราบเลือดเป็นแต้มๆ เฉกสัตว์อสูรบรรพกาลตัวหนึ่งเผยรูปลักษณ์อันดุร้ายออกมาจนสิ้น นางตัวสั่นระริกดุจเด็กน้อย ขดร่างตนเองจนเป็นกลุ่มเล็กๆ ถูกปกคลุมมิดชิดอยู่ภายใต้เรือนกายอันสูงใหญ่กร้าวแกร่ง
ทวนวงเดือนยาวตวัดออกไปแล้ว หลิงเหล่าซันไม่ทันร้องอุทานก็ถูกสับเป็นสองท่อน โลหิตฉีดกระจาย หลิงเหล่าเอ้อร์รีบตบสะโพกม้าสุดแรงราวคลุ้มคลั่ง ควบหนีไปยังหน้าผาอย่างลนลานโดยไม่เลือกทาง นักรบเดนตายที่เหลือต่างพากันติดตามไป
หลิงปู้อี๋วกเก็บทวนวงเดือนยาว กระตุ้นม้าไล่กวดไปเช่นกัน ตอนนี้เองทหารทางการที่ไล่หลังมาได้บุกมาถึงแล้ว
แม่ทัพเกราะทองหนึ่งในผู้นำทัพนั้นเฉิงเซ่าซางคุ้นตายิ่ง ก็คือแม่ทัพผู้หนึ่งของหน่วยพยัคฆ์เผ่น เขาตะโกนไปทางหลิงปู้อี๋อย่างรุ่มร้อนใจ “เว่ยเจียงจวินอย่าได้วู่วาม ไม่ว่ามีเรื่องใดพูดคุยกันดีๆ เถิด ฝ่าบาทจะทรงออกหน้าให้ท่านเอง! ทหาร! จงเร่งสกัดพวกเขาไว้!”
แม่ทัพเกราะเขียวอีกผู้หนึ่งกลับเอ่ยเสียงเย็นชา “จะพูดพล่ามไปไย! หลิงปู้อี๋สังหารบิดา ใช้ทหารโดยพลการ กระทำผิดอุกฉกรรจ์ ใครก็ปกป้องเขาไม่ได้! ทหารจงฟังบัญชาข้า หากหลิงปู้อี๋ไม่ยอมจำนน ยิงสังหารได้อย่างเต็มที่!”
แม่ทัพเกราะทองเดือดดาล “เป็นบ้าอะไรของเจ้า! ฝ่าบาทเคยตรัสเมื่อไรว่าต้องการชีวิตของหลิงปู้อี๋!”
แม่ทัพเกราะเขียวแย้ง “แต่ฝ่าบาทก็ไม่ได้ตรัสว่าห้ามเอาชีวิตเขานี่! คืนนี้หกค่ายทหารโกลาหลหนัก แม่ทัพหลายท่านในค่ายใหญ่ผานชิ่งกับค่ายใหญ่ตงไถนึกว่าข้าศึกมาโจมตี เกือบระดมกำลังพลทั้งหมดออกมาด้วยซ้ำ! จนถึงขั้นนี้หลิงปู้อี๋ยังดื้อด้านต่อต้าน หรือว่ากฎกองทัพกับอาญาบ้านเมืองล้วนวางเป็นเครื่องตกแต่งไปอย่างนั้นเอง?!” วาจาแม้กล่าวเช่นนี้ แต่จนถึงที่สุดเขาก็ไม่ได้สั่งให้ยิงเกาทัณฑ์ออกไป
เฉิงเซ่าซางเรือนผมรุ่ยร่าย กล่าวเสียงแหบเครือไปทางเหนือศีรษะ “ท่านหยุดมือเร็วเข้าเถิด ชี้แจงกับฝ่าบาทดีๆ พระองค์เป็นคนพระทัยอ่อนเห็นแก่ไมตรี จะต้องทรงผ่อนปรนเปิดทางออกให้ท่านสายหนึ่งแน่!”
“มิผิด ฝ่าบาททรงพระทัยอ่อนเห็นแก่ไมตรี” หลิงปู้อี๋เอ่ยเสียงเบา “เผิงเจินก่อกบฏที่โซ่วชุน กระทำผิดใหญ่หลวงถึงเพียงนั้นก็ไม่ถูกประหารทั้งตระกูล…ข้าจึงได้แต่ลงมือเองเท่านั้น”
เอ่ยมาถึงตรงนี้เขาพลันเพิ่มระดับเสียง เปลี่ยนเป็นต่อว่าเสียงกร้าว “สตรีใจจืดใจดำเยี่ยงเจ้า ในเมื่อไม่ยินยอมร่วมเป็นร่วมตายกับข้า รั้งเจ้าไว้จะมีประโยชน์ใด!”
เฉิงเซ่าซางตะลึงงัน
หลิงปู้อี๋ชักมีดสั้นตัดเชือกป่านที่รัดพันอยู่บนร่างของคนทั้งสองขาดในคราวเดียว ประหนึ่งเฉือนสะบั้นสายรกที่เชื่อมโยงเลือดเนื้อของกันและกันไว้ แล้วกระตุกเสื้อคลุมขนสัตว์ของเขามาห่อหุ้มบนร่างนาง
เฉิงเซ่าซางยังไม่ทันจะเข้าใจว่าเป็นเรื่องราวใด เพียงรู้สึกว่าเหนือศีรษะถูกจุมพิตเบาๆ หนึ่งหน ก่อนได้ยินเขากระซิบที่ริมหู “นับแต่นี้ไม่พบกันอีก”
จากนั้นนางก็ถูกโยนสูงออกไป ลอยละลิ่วจนวิงเวียน แล้วร่วงลงบนพื้นอย่างหนักหน่วง
ที่นี่เต็มไปด้วยหินภูเขา ทว่าจุดที่นางร่วงสัมผัสพื้นกลับเป็นกองหญ้าแห้งอันอ่อนนุ่ม แรงปะทะส่งให้นางกลิ้งต่อไปหลายตลบกว่าจะหยุดลงได้ นางรู้สึกปวดร้าวไปทั่วสรรพางค์กาย กระดูกเส้นเอ็นราวจะหักขาด ทว่าชั่วขณะนี้นางไม่มัวมาตรวจดูอาการบาดเจ็บของตน เพียงข่มทนความเจ็บปวดสาหัส หยัดกายขึ้นมองไปยังบริเวณที่มีแสงสว่าง
หลิงปู้อี๋นั่งตัวตรงอยู่บนอานม้าด้วยท่าทางทระนงและเด็ดเดี่ยว
ดูเหมือนเขาจะพูดอะไรบางอย่างกับแม่ทัพสองคนที่ไล่ตามมา จากนั้นโบกมือให้พี่น้องสกุลเหลียงชิวกับเหล่าทหารของเขาวางอาวุธยอมจำนน ยามที่คนทั้งหมดนึกว่าเรื่องราวยุติลงแล้ว เขากลับกระตุกสายบังเหียนดึงตัวม้าขึ้นสูง พลันวกหัวม้าไปล่าสังหารหลิงเหล่าเอ้อร์ต่อ
แม่ทัพเกราะทองอึ้งงันไปชั่วขณะ ผิดกับแม่ทัพเกราะเขียวที่รีบตวาดสั่งให้ผู้ใต้บัญชากรูตามเขาไปดุจกระแสน้ำ
หลิงเหล่าเอ้อร์เห็นว่าสิ้นหนทางแล้ว จึงให้นักรบเดนตายที่เหลืออยู่เพียงหกเจ็ดคนล้อมตนไว้ หลิงปู้อี๋หนึ่งคนกับหนึ่งม้ารุกไล่ไปพลางตวัดซ้ายผ่าขวาไปพลาง เพียงไม่กี่หนก็กำจัดนักรบเดนตายจนไม่เหลือ ขณะจะจู่โจมไปยังศีรษะของหลิงเหล่าเอ้อร์นั่นเอง แม่ทัพเกราะเขียวกับรองแม่ทัพของเขาก็ไล่มาทันอย่างฉิวเฉียด
อาวุธของแม่ทัพเกราะเขียวคือค้อนคู่ตะขอเหล็ก ส่วนรองแม่ทัพของเขาใช้ดาบใหญ่ด้ามยาวเล่มหนึ่ง เห็นชัดว่าหลิงปู้อี๋สัมผัสได้ถึงเสียงลมจากอาวุธที่ตวัดมาทางด้านหลัง ขอเพียงหมุนตัวไปสกัดไว้ก็เรียบร้อย ทว่าเขากลับยังคงฟันอาวุธลงไปหาหลิงเหล่าเอ้อร์โดยไม่สนใจอันใดทั้งสิ้น
ภาพฉากนี้เขย่าขวัญสั่นคลอนหัวใจ แม่ทัพทหารหาญที่รายล้อมอยู่ชั้นแล้วชั้นเล่าต่างจรดจ้องไปที่ริมหน้าผา…
เริ่มจากหลิงเหล่าเอ้อร์ถูกประกายสีทองสายหนึ่งฟันเฉียงกุดลำคอ ศีรษะกับร่างกายแยกจากกันในพริบตา ขณะที่ศีรษะกลิ้งหลุนๆ ลงไปตามเนินเขา หนึ่งค้อนกับหนึ่งดาบของแม่ทัพเกราะเขียวกับรองแม่ทัพก็โจมตีถูกแผ่นหลังของหลิงปู้อี๋โดยพร้อมเพรียง!
แม่ทัพทหารหาญโดยรอบพร้อมใจกันร้องอุทานอย่างตื่นตระหนก เสียงร้องของพี่น้องสกุลเหลียงชิวแหลมสูงโศกสลดยิ่งกว่าใคร
แม่ทัพเกราะเขียวรู้จักฝีมือของหลิงปู้อี๋ดี ไม่ได้คาดคิดว่าจะโจมตีสำเร็จในคราวเดียว ชั่วขณะนั้นจึงตะลึงค้างอยู่กับที่
สองตาของเฉิงเซ่าซางพร่าเลือน ไม่รู้เป็นเพราะน้ำตาหรือเพราะเลือดที่ไหลลงจากหน้าผาก สองฝ่ามือของนางถลอกปอกเปิกตั้งแต่ตอนที่กลิ้งตัวหลายตลบ กระนั้นกลับยังค้ำอยู่บนพื้นซึ่งมีเศษหินตะปุ่มตะป่ำอย่างไม่รู้จักความเจ็บปวด
นางรีบยกหลังมือขึ้นเช็ดตาแรงๆ เสี้ยวอึดใจที่ลดมือลง กลับเห็นเงาร่างสีแดงเข้มลายทองอ่อนสายนั้นพลัดตกจากหลังม้า กลิ้งลงหน้าผาไปต่อหน้าต่อตานาง
ชั่วขณะที่เขาพลัดตก ทวนวงเดือนทองหงส์ชาดค้ำนภาหลุดจากมือปักเฉียงอยู่บนพื้น ใบมีดข้างคมทวนซึ่งดูคล้ายปีกหงส์คู่ฉายรัศมีทองอร่ามตานั้นยังคงสั่นสะท้านนิดๆ ท่ามกลางสายลมหนาว
กระแสความคิดพลันย้อนทวนสู่ปีที่แล้วในช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกัน ยามนั้นก็เป็นช่วงต้นฤดูวสันต์ที่ยังหนาวเย็น ยามนั้นก็มีร่างคนตายเกลื่อนป่าเขา ในบ้านพรานป่า…นางถอนเกาทัณฑ์หักจากแผ่นหลังของเขา เขาเหลียวใบหน้ามาคลี่ยิ้มน้อยๆ ให้นาง ถามนางว่าเจ็บมือหรือไม่
รอยยิ้มของเขาในตอนนั้นละมุนละไม ฝากความนัยอันลึกซึ้ง เพียงแรกมองดั่งรู้จักมานับหมื่นปี
นางทรุดฮวบ ศีรษะคะมำลง ไม่อาจรับรู้อันใดอีก
* บุตรกำพร้าสกุลจ้าว หมายถึงจ้าวอู่ ขุนนางแคว้นจิ้นยุคชุนชิว บิดาของเขาถูกแม่ทัพใหญ่ถูอั้นกู่ให้ร้าย สกุลจ้าวสามร้อยกว่าชีวิตถูกสังหาร คงเหลือเพียงจ้าวอู่ที่แม้เป็นทารกแบเบาะก็ยังถูกตามฆ่า ได้ผู้ที่ไม่หวั่นเกรงต่ออำนาจหลายคนสละชีวิตช่วยเหลือ ยี่สิบปีให้หลังจ้าวอู่เติบใหญ่จับกุมถูอั้นกู่มาประหาร ล้างแค้นให้คนทั้งตระกูลได้ในที่สุด
* ทุบหม้อข้าวจมเรือ หมายถึงตัดสินใจเด็ดขาดที่จะต่อสู้จนถึงที่สุดโดยไม่ถอยหลังกลับ มีที่มาจากยุทธการที่จวี้ลู่ ศึกนั้นฝ่ายเซี่ยงอวี่ (ฉู่ป้าหวัง หรือฌ้อปาอ๋อง) หมายต่อต้านราชวงศ์ฉินทว่ามีกำลังคนน้อยกว่า เมื่อข้ามแม่น้ำแล้วจึงสั่งให้ทุบหม้อข้าวจมเรือของฝ่ายตนทิ้งไปเพื่อปลุกขวัญทหารให้สู้ตายไม่ถอยหนี จนทำให้มีชัยเหนือฝ่ายฉินในที่สุด
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 22 พ.ค. 66 เวลา 12.00 น.