เฉิงเซ่าซางมองเขาด้วยหางตา “ใช่หรือ องค์ชายห้าทรงเห็นอยู่ชัดๆ ว่าพวกหม่อมฉันสามคนมีเรื่องจะสนทนากัน กลับดึงดันจะเบียดเสียดขึ้นรถม้า ไว้กลับไปแล้วท่านทูลฝ่าบาทว่าเป็นเพียงเหตุบังเอิญ ดูเถิดว่าฝ่าบาทจะทรงเชื่อหรือไม่”
องค์ชายห้าหน้าเปลี่ยนสีไปหลายตลบ ก่อนขบกรามกล่าว “ดีๆ เจ้าไร้เมตตา ข้าก็จะไม่มัวมีคุณธรรมแล้ว” เขาหันขวับไปส่งยิ้มให้ฮั่วปู้อี๋ “คุณชายสิบเอ็ด มีอยู่เรื่องหนึ่งเจ้าอาจยังไม่รู้ และข้าก็ทนดูเจ้าถูกตบตาไม่ได้…”
เฉิงเซ่าซางหนังตาเต้นตุบ ในใจร้องลั่นว่า ไม่ได้การ ขณะที่หยวนเซิ่นยังคงไม่รู้สาเหตุ องค์ชายห้าก็พูดต่อไปดั่งสายน้ำไหลแล้ว “คุณชายสิบเอ็ดเอ๋ย เจ้ารู้บ้างหรือไม่ เฉิงเซ่าซางนางเคยทาบทามตงไห่อ๋องด้วยนะ! นางเคยขอให้พี่ชายใหญ่ของข้าแต่งกับนาง!”
หยวนเซิ่นสีหน้าขรึมวูบ คิดในใจว่า องค์ชายห้ารู้เรื่องนี้ได้อย่างไรกัน
ส่วนเฉิงเซ่าซางโอดครวญอยู่ในใจ ใช้มือประคองหน้าผากไว้
องค์ชายห้ากระหยิ่มยิ้มย่อง “เป็นอย่างไรคุณชายสิบเอ็ด เจ้านึกไม่ถึงสิท่า! เฉิงเซ่าซางนางถึงกับทำเรื่องเยี่ยงนี้ออกมาได้ เรียกว่าเป็นข่าวพิสดารของใต้หล้า…”
“ถัดจากนั้นเล่า”
“หา?!” องค์ชายห้าอึ้งงัน
ฮั่วปู้อี๋หน้าไม่เปลี่ยนสี ถามซ้ำอย่างใจเย็น “ถัดจากนั้นเป็นเช่นไร เป็นตงไห่อ๋องไม่ตอบรับ หรือเป็นเซ่าซางกลับคำกลางคันเล่า”
องค์ชายห้าทึ่มทื่อ “เอ่อ คือ…เป็นพี่ชายใหญ่ไม่ตอบรับ…”
ฮั่วปู้อี๋ผงกศีรษะ แล้วเอียงกายไปเพ่งมองหญิงสาว
เฉิงเซ่าซางถูกมองจนใจสั่น ออกแรงเกี่ยวแขนหยวนเซิ่นที่อยู่ด้านข้าง ก่อนพูดเสียงดังกว่าเก่า “องค์ชายห้าทรงเลิกคิดเองเออเองเสียที นึกว่าหม่อมฉันกลัวผู้อื่นพูดถึงเรื่องนี้หรือ! หม่อมฉันทำออกไปได้ ก็ไม่กลัวผู้อื่นพูดถึงหรอก! อีกอย่างนะ เรื่องนี้หม่อมฉันบอกซั่นเจี้ยนไปตั้งแต่ต้นแล้ว อย่าทรงวางแผนให้เหนื่อยเปล่าเลย…” ถ้อยคำแม้จะกล่าวเช่นนี้ ทว่าสายตานางกลับกวาดมองไปทั่วอย่างร้อนตัว ไม่รู้เช่นกันว่ากลัวอันใดอยู่
“เซ่าซาง เหตุใดเจ้าต้องทำเช่นนี้เล่า เท่าที่ข้ารู้ เจ้ามิเพียงไม่ชอบพอตงไห่อ๋อง ยังติเตียนเขาไม่ใช่น้อย” ฮั่วปู้อี๋มีสีหน้าเยือกเย็น ไม่มีความตระหนกหรือขัดเคืองใจแม้ส่วนเสี้ยว
เฉิงเซ่าซางแค่นเสียงฮึหนึ่งหน ก่อนฝืนวางโตเมินหน้าไปอีกทาง “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับท่าน!”
เมื่อครู่หยวนเซิ่นเกือบถูกหญิงสาวกระตุกล้ม เคราะห์ยังดียึดจับผนังรถได้ทันท่วงที เขามองคู่หมั้นอย่างจนปัญญาค่อยถอนใจกล่าว “พักก่อนไหวอันอ๋องไทเฮามีพระพลานามัยไม่สู้ดี ตรัสว่าอยากเห็นเซ่าซางออกเรือนจึงจะสบายพระทัยได้ ดังนั้น…เซ่าซางก็เลยออกเสาะหาคน เลือกคู่ครอง” ขณะพูดเขายังขึงตาใส่นางแวบหนึ่งอย่างไม่พอใจ
ฮั่วปู้อี๋ขานรับดังอืม “นั่นสินะ เซ่าซางเห็นว่าตงไห่อ๋องอ่อนโยนใจดีควบคุมง่าย ทั้งออกเรือนแล้วยังปรนนิบัติเซวียนไทเฮาได้ดังเดิม นางจึงได้ขอเขาแต่งงานสินะ” ทั้งที่เขาไม่เคยได้ยินคำแก้ต่างของเฉิงเซ่าซาง แต่ถึงกับทายได้ใกล้เคียงอย่างยิ่ง
องค์ชายห้าแสนจะไม่พอใจกับท่าทีตอบสนองของฮั่วปู้อี๋ “คุณชายสิบเอ็ดจะไม่ต่อว่านางสักสองประโยคเลยหรือ ถึงแม้คนโบราณก็มีบทกวีที่สตรีเป็นฝ่ายเผยความรู้สึกก่อน ทว่าอย่างไรเสียสตรียังคงสุภาพสำรวมสักหน่อยจะเป็นการดีกว่า”
“องค์ชายห้าทรงหยุดแต่พองามเถิด!” เฉิงเซ่าซางถลึงตาใส่อย่างขุ่นแค้น
องค์ชายห้าทำเสมือนมองไม่เห็น…ความจริงระหว่างเขากับนางมีความลับอยู่เรื่องหนึ่ง และเขาก็มั่นใจว่านางไม่กล้าพูดออกมาแน่
“จะตำหนิเซ่าซางก็ควรให้กระหม่อมตำหนิกระมัง” หยวนเซิ่นเอ่ยเสียงเย็นชา “ขอเพียงกระหม่อมไม่ถือสา องค์ชายห้าไยต้องทรงเป็นคนถ่อยด้วย” อันที่จริงหนนี้เขาไม่คัดค้านที่องค์ชายห้าเปิดโปงเรื่องนี้เลย พูดอย่างต่ำช้าหน่อย ตอนนี้เขาอยากให้ฮั่วปู้อี๋ผิดหวังในตัวเฉิงเซ่าซางแทบแย่ด้วยซ้ำ
“เจ้าถูกเฉิงเซ่าซางตะครุบอยู่หมัดแล้ว มีหรือจะตำหนินางได้!” องค์ชายห้าแค่นเสียงฮึ “คุณชายสิบเอ็ด เจ้าไม่มีอะไรจะพูดจริงๆ น่ะหรือ”
ฮั่วปู้อี๋เอียงหน้าเหม่อลอย คล้ายกำลังขบคิดอันใดอยู่ “ข้ามีบางอย่างจะถาม” เขาหันกลับมา “องค์ชายห้า ผ่านไปอีกนานเท่าไรที่เซ่าซางมาขอท่านแต่งงาน”
เสียงตุบดังขึ้นหนึ่งหนเมื่อพัดขนนกขององค์ชายห้าร่วงกระแทก ผู้ฟังทั้งสามคนล้วนใจสั่นโดยพร้อมเพรียง เพียงแต่สีหน้าแตกต่างกันไป หยวนเซิ่นนั้นตื่นตกใจชนิดไม่ได้ตั้งตัว ส่วนเฉิงเซ่าซางกับองค์ชายห้าต่างออกอาการว่า ‘เขารู้ได้อย่างไรกัน ข้าไม่ได้บอกใครทั้งสิ้นเลยนะ?!’
องค์ชายห้าในใจลนลาน ทว่ายังคงฝืนยิ้มกล่าว “พูดอะไรกันนี่ คุณชายสิบเอ็ดพูดล้อเล่นแล้ว…หึๆ หึๆ”
ฮั่วปู้อี๋นิ่งมององค์ชายห้า
เฉิงเซ่าซางค่อยๆ กระถดถอยไปอยู่ด้านหลังหยวนเซิ่น ใครจะรู้หยวนเซิ่นที่ถูกยั่วโทสะจนหายใจหอบถี่กลับคว้าตัวนางออกมาในคราวเดียว “นี่เจ้าทำเยี่ยงนี้ลงไปจริงๆ?”
เห็นใบหน้าคู่หมั้นเกลื่อนด้วยรอยยิ้มประจบอันเหลอหลา ไม่ต่างกับยอมรับโดยปริยาย หยวนเซิ่นก็หวิดจะลมหายใจขาดห้วง…นับแต่หมั้นหมายกับเฉิงเซ่าซาง ชีวิตของเขากล่าวได้ว่า ‘เยี่ยมยอด’ ขึ้นทุกวัน