ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย
ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย เล่ม 7 บทที่ 157
“เคยได้ยินมาว่าฮั่วโหวเงียบขรึม พบกันในวันนี้ เห็นชัดว่าถ้อยคำของผู้คนอาจไม่เป็นความจริงเสมอไป ท่านโหวแม้สร้างตัวด้วยผลงานการรบ ตอนนี้ดูแล้ว ฝีมือด้านคารมกลับโดดเด่นกว่าเสียอีก” หยวนเซิ่นกล่าวเนิบๆ เขาเลื่องลือทั่วหล้าด้านความรอบรู้และการถกปรัชญาตั้งแต่อายุสิบห้า หลายปีมานี้ยิ่งไปมาระหว่างหอถกปรัชญากับสำนักราชเลขาธิการ ผู้ที่เขาต้องรับมือ หากมิใช่ราชบัณฑิตเอกกับบัณฑิตที่รักในการแสดงความเห็นก็คือขุนนางเรืองอำนาจกับผู้สูงศักดิ์ที่มีชั้นเชิงลุ่มลึก
บัดนี้ความตื่นตะลึงเมื่อแรกเริ่มบรรเทาเบาบางลงแล้ว เขาปรับอารมณ์ของตนจนได้ จึงเผชิญหน้ากับศัตรูหัวใจที่ร้ายกาจได้อย่างรัดกุม “ทว่าฮั่วโหวคารมคมคายสักเพียงใด กลับยังคงมีประเด็นหนึ่ง ท่านรู้ได้อย่างไรว่าเรื่องที่เซ่าซางรับหมั้นสกุลข้าเป็นการหลอกตนเองและผู้อื่นหรือเป็นความต้องการจากใจจริง อาศัยวาจาไม่กี่คำก็หมายจะให้คู่ต่อสู้ยอมจำนน ท่านโหวถือดีเกินไปกระมัง”
ฮั่วปู้อี๋มองเฉิงเซ่าซางอีกครา ก่อนตอบเรียบๆ “หากคู่ต่อสู้ของข้าคือหยวนซื่อจงจริงๆ…ก็ดีน่ะสิ”
คู่ต่อสู้ของเขา แต่ไรมาก็ไม่ใช่หยวนเซิ่น
หยวนเซิ่นกังขา ฮั่วปู้อี๋กลับเคาะผนังรถ “พักนี้เรื่องคำสั่งรังวัดที่ดินทำให้ในราชสำนักถกเถียงกันไม่เลิก ข้าต้องกลับไปหารือเรื่องนี้…จวนสกุลเฉิงอยู่ตรงหน้านี่เอง เดินเท้าหนึ่งหลี่ก็ถึง ข้าขอไม่ส่งสองท่านไกลกว่านี้แล้ว”
ผู้อื่นออกคำสั่งไล่แขก หยวนเซิ่นกับเฉิงเซ่าซางย่อมจะรีบลงจากรถ
ทั้งสองยืนอยู่ทิศเหนือของถนนอันเงียบสงบ เบื้องหลังมีบ่าวชายและองครักษ์ของจวนสกุลหยวนกับเฉิง มองส่งรถม้าเหล็กดำของฮั่วปู้อี๋แล่นไปไกล หยวนเซิ่นกับเฉิงเซ่าซางต่างจนถ้อยคำไปชั่วขณะ
“คนผู้นี้ฝีมือดีจริงๆ เริ่มจากรุกแบบเหนือความคาดหมาย พูดจนคู่ต่อสู้ว้าวุ่นลนลาน รอจนยามที่คู่ต่อสู้จะตอบโต้ เขากลับตัดบทอย่างเฉียบขาด หลีกห่างสามเซ่อ* วันหน้าค่อยถกกันใหม่ ตรงตามคำกล่าวที่ว่า ‘หนึ่งกลองปลุกใจ สองหนถดถอย สามหนหมดสิ้น’ ในหนึ่งสมรภูมินี้ คู่ต่อสู้ย่อมตกเป็นรอง!” แขนเสื้อยาวของคุณชายใหญ่สกุลหยวนไพล่หลัง พูดประเมินฮั่วปู้อี๋เช่นเดียวกับวิจารณ์การศึก
เฉิงเซ่าซางมองฟ้า ก่อนจะก้มหน้าลง “คือว่า…ท่านต้องการถอนหมั้นกับข้าหรือไม่” มิใช่นางทำลายกำลังขวัญของฝ่ายตน ทว่าหากฮั่วปู้อี๋ออกฤทธิ์ออกเดชขึ้นมาจริง ในเมืองหลวงจะมีสักกี่คนที่ต้านทานเขาไหว
หยวนเซิ่นตอบอย่างหนักแน่น “ย่อมจะไม่ถอน! ก่อนหน้านี้เป็นข้าเองที่ประมาทศัตรู หลายวันก่อนเห็นเขาห่อเหี่ยว ก็นึกว่าเขาถอดใจแล้ว คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะพลันจู่โจม เมื่อแรกที่เจ้าหมั้นอยู่กับเขา ข้ายังเคยคิดเลยว่าจะแยกพวกเจ้าออกจากกันอย่างไร วันนี้มีหรือข้าจะถอยหนี!”
“อะไรนะ อะไร” เฉิงเซ่าซางไม่เชื่อ “ท่านถึงกับเคยมีความคิดเยี่ยงนี้!”
หยวนเซิ่นไร้วี่แววละอาย “ข้ากล้ารับรองกับเจ้าได้เลย ตอนที่เจ้าหมั้นหนแรก ฮั่วปู้อี๋ก็ต้องเคยคิดว่าจะแยกเจ้าออกจากโหลวเหยาอย่างไร เพียงแต่เขาพะวงมากไปจึงไม่ได้ลงมือก็เท่านั้น” เอ่ยจากมุมนี้ พวกเขาสองคนนับได้ว่าเป็นสหายร่วมเส้นทาง
“พวกท่านเข้าอกเข้าใจกันดีจริงนะ!” เฉิงเซ่าซางหมดถ้อยคำ
“อย่ามัวแต่เหน็บแนมข้าอยู่เลย คิดก่อนเถิดว่าจะรับมือฮั่วปู้อี๋เช่นไร หรือว่าเจ้าจะเปลี่ยนตัวคู่หมั้นจริงๆ?!”
เฉิงเซ่าซางเปล่งเสียงแหะๆ สองหนด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
นึกถึงเมื่อครู่ถูกฮั่วปู้อี๋คุมจังหวะการเจรจาได้โดยสมบูรณ์ หยวนเซิ่นก็พูดอย่างหงุดหงิด “สรุปคือ…ฮั่วปู้อี๋ผู้นี้ช่างน่าชังนัก!”
เฉิงเซ่าซางถอนใจกล่าว “ข้าเคยบอกท่านนานแล้ว คนผู้นี้ดูเงียบๆ แต่พออ้าปากกลับมีพิษร้ายยิ่ง! หากเขาอยากยั่วโมโหท่านให้ตายไปต่อหน้า ก็จะไม่ให้ท่านเหลือลมหายใจสักเฮือกเด็ดขาด! เมื่อก่อนข้าเคยเสียเปรียบเขาไม่รู้กี่ครั้งกี่หนแล้ว!”
“เจ้าก็เหมือนกัน ไฉนเรื่ององค์ชายห้าจึงไม่บอกข้า ทำเอาข้าถูกจู่โจมจนตั้งตัวไม่ติด!” ใบหน้าดุจหยกของหยวนเซิ่นฉายความเคร่งขรึม เริ่มคิดบัญชีย้อนหลัง
เฉิงเซ่าซางตอบอย่างจนใจ “ช่วงนั้นได้ยินทางองค์ชายห้าคุยฟุ้งว่า ‘ไปเมืองศักดินาแล้วผืนฟ้าอยู่สูงฮ่องเต้อยู่ไกล* อยากทำเช่นไรก็ทำเช่นนั้น’ ข้าจึงหวั่นไหวชั่วขณะ ประกอบกับแสนว่างเบื่อหน่ายจึงได้พูดหยั่งเชิงเขาสองสามประโยค ถือเป็นจริงเป็นจังไม่ได้หรอก!”
หยวนเซิ่นหน้าถมึงทึง “การแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ ล้อเล่นได้หรือ!”
“เอาล่ะ รู้แล้ว!” เฉิงเซ่าซางกล่าว “เป็นเพราะท่านไม่ดีเช่นกัน พิรี้พิไรกับสกุลไช่ตั้งห้าปียังไม่จบ ใครจะกล้าจัดท่านเข้ารายชื่อตัวเลือกสามีเล่า ข้าย่อมต้องหาทางออกอื่นสิ!”
“สรุปคือต่อไปเจ้าต้องบอกข้าทุกเรื่อง ฮั่วปู้อี๋แสดงชัดว่าหมายจะเจาะช่องบุกเข้ามา เจ้ากับข้าควรร่วมแรงร่วมใจกัน!”
“ท่านว่าเขาจะออกกระบวนท่าอะไรหรือ”
สองคนมองหน้ากันไปมา ต่างคิดวิธีไม่ออก
ที่เฉิงเซ่าซางคิดอยู่คือ…ไม่ว่าฮั่วปู้อี๋จะขออภัยเอาใจเช่นไร ข้าก็จะไม่หวั่นไหวเป็นอันขาด
ส่วนหยวนเซิ่นคิดว่า…ฮั่วปู้อี๋จะใช้อำนาจคุกคามลอบกดขี่กันหรือไม่ ทว่าสกุลหยวนของข้าก็ไม่ใช่พวกกินผักหญ้า หรอกนะ
สองคนเดินไปคุยไป จวบจนถึงปากตรอกของจวนสกุลเฉิง เฉิงเซ่าซางพลันฉุกคิดได้เรื่องหนึ่ง “นี่ๆ ฮั่วปู้อี๋ต้องไปหารือเรื่องคำสั่งรังวัดที่ดิน ท่านไม่มีงานต้องเร่งทำหรือไร”
หยวนเซิ่นตีหน้าผากตนเองหนึ่งที ก่อนกระแอมกระไอ “แค่กๆ ล้วนเป็นเพราะถูกคนแซ่ฮั่วยั่วโมโหจนเลอะเลือน! วันพรุ่งนี้ฝ่าบาทจะทรงเรียกเหล่าขุนนางเข้าประชุมใหญ่ ข้าต้องไปจวนต้าซือคง หารือเรื่องที่จะทูลตอบฝ่าบาท เจ้า…”
“เอาล่ะ ท่านไปก่อนเถิด ถึงตรงนี้แล้วข้ากลับเข้าบ้านเองได้” เฉิงเซ่าซางโบกมือกล่าว “วันหน้าท่านจะเป็นหนึ่งในสามมหาอำมาตย์ไม่ใช่หรือ ความจำแย่เช่นนี้จะได้อย่างไรกัน! ท่านรีบไปเถิด ข้ารอเป็นฮูหยินของมหาอำมาตย์ที่ยังไม่รู้ว่าจะนั่งตำแหน่งใดอยู่นะ!”
หยวนเซิ่นรีบขึ้นม้าที่องครักษ์จูงมา กีบเท้าม้าเพิ่งย่างออกไปไม่กี่ก้าว เขาก็หยุดม้าเหลียวหลังมาอีกหน เห็นคู่หมั้นเอาสองมือไพล่หลัง เดินมุ่งเข้าตรอกไปด้วยท่าทีสุขุมยิ่ง เขาก็อดคลี่ยิ้มไม่ได้
เขาคิด…ชาตินี้เขาชมชอบสตรีผู้หนึ่งอย่างหาได้ยาก ย่อมจะไม่ประคองส่งมอบนางไปเพียงเพราะคู่ต่อสู้กล้าแข็ง เขาไม่ยินดีจะเป็นเช่นอาจารย์หวงฝู่ สำนึกเสียใจไปครึ่งชีวิต จากนั้นวิ่งไปขับร้องเพลงที่เชิงกำแพงบ้านของอีกฝ่าย
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 11 ก.ค. 66 เวลา 12.00 น.