บทที่ 158
เฉิงเซ่าซางยืดหลังตรงเดินเข้าประตูบ้านไป ระหว่างกลับเรือนพักของตน เฉิงเซ่ากงโผล่มาซุบซิบใกล้ๆ “เป็นอย่างไรบ้าง เป็นอย่างไร ฮั่วปู้อี๋พ้นผิดแล้วหรือยัง เจ้าเป็นพยานได้ผลหรือไม่”
เฉิงเซ่าซางถูกเรื่องน่าโมโหประดังเข้าใส่ “ยังต้องเป็นพยานอะไรเล่า ผู้อื่นแสนจะน่าเกรงขาม ไม่มีสิ่งใดเหนือความสามารถ เก็บซ่อนหลักฐานไว้แต่แรกแล้ว! วันนี้ต่อให้ข้าไม่ไป เขาฮั่วปู้อี๋ก็ออกจากกรมอาญาได้อย่างแคล้วคลาดปลอดภัย!”
เฉิงเซ่ากงผิดหวังอย่างยิ่ง “ข้ายังนึกว่าคนชื่อจางเย่านั่นจะมีฝีมือพิชิตได้ในการโจมตีเดียวเสียอีก ที่แท้ก็ไม่ได้ความเพียงนี้ กระทั่งอยู่ไม่ครบหนึ่งยกด้วยซ้ำ”
เอ่ยถึงตัวไร้ประโยชน์ที่เอาแต่ซักไซ้รายละเอียดกับนาง เฉิงเซ่าซางก็ยิ่งโมโห “อย่าเอ่ยถึงคนสารเลวนั่น ตอนนี้ใต้เท้าจี้น่าจะกำลังพิจารณาโทษเขาอยู่ ได้ยินซั่นเจี้ยนบอกว่าปรักปรำขุนนางสำคัญที่มีคุณความชอบส่งเดชเยี่ยงนี้ อย่างน้อยๆ ต้องถูกถอดตำแหน่งแล้วเนรเทศ”
“พูดเช่นนี้ ตอนนี้ฮั่วปู้อี๋ก็หมดเรื่องแล้วสิ? เฮ้อ เหนียวเหนี่ยว เจ้าไปเสียเที่ยวแท้ๆ ซ้ำผู้อื่นก็ไม่ต้องซาบซึ้งเจ้าด้วย”
เฉิงเซ่าซางชะงักฝีเท้า หมุนตัวมามุ่นคิ้วกล่าว “พักนี้พี่สามพิกลนัก เริ่มจากไม่เห็นพ้องเรื่องแต่งงานของข้ากับหยวนซั่นเจี้ยนโดยไร้สาเหตุ พอฮั่วปู้อี๋กลับมา เช้าจรดค่ำยิ่งเลียบเคียงถึงความเป็นไปของเขา ข้าจำได้ว่าเมื่อก่อนพี่สามหวาดกลัวเขาอย่างยิ่ง แม้แต่พลาดเจอเขาระหว่างทาง ท่านก็ยังแสร้งทำเป็นไม่รู้จัก อ้อมทางเผ่นหนี”
เฉิงเซ่ากงหัวเราะกลบเกลื่อน พูดไปพลางวิ่งหนีไปพลาง “เหนียวเหนี่ยวพูดเช่นนี้ได้อย่างไรกัน ตอนนี้พี่ใหญ่พี่รองล้วนไม่อยู่ ในบ้านข้าอาวุโสสุด ย่อมต้องห่วงใยน้องสาวสิ หึๆ หึๆ…”
เฉิงเซ่าซางถลึงตาใส่เงาหลังของพี่ชายฝาแฝดครู่หนึ่งก็มุ่งหน้ากลับเรือนพักต่อ จวบจนย่างเท้าเข้ามาในห้องของตน ไหล่จึงค่อยลู่ตกลง อาจู้สังเกตได้ว่าหญิงสาววิตกกังวลจึงถามด้วยความห่วงใย “คุณหนูเป็นอะไรไปเจ้าคะ เพิ่งออกไปข้างนอกไม่ถึงครึ่งวันก็ดูอ่อนล้าเพียงนี้” จบคำนางกำชับเฉี่ยวกั่วไปยกน้ำร้อน และให้เหลียนฝางไปบรรจุถุงทรายร้อนๆ มาให้เฉิงเซ่าซางประคบคลายเมื่อยล้า
เฉิงเซ่าซางถอนใจเบาๆ ก่อนกล่าว “ไม่รู้เพราะเหตุใด ข้ารู้สึกอยู่ตลอดว่ากำลังจะเกิดเรื่องที่ไม่ควรเกิด”
อาจู้ลอบดูสีหน้าของหญิงสาวแล้วถามเบาๆ “เป็นเพราะใต้เท้าฮั่วหรือเจ้าคะ”
ผ่านไปครู่ใหญ่เฉิงเซ่าซางค่อยตอบ “ใช่”
ในอดีตตอนที่ฮั่วปู้อี๋กุมอำนาจใหญ่ในมือ หยวนเซิ่นเก็บงำประกาย รอจนฮั่วปู้อี๋ถูกเนรเทศ หยวนเซิ่นถึงค่อยเผยความสามารถอันโดดเด่นในด้านการปกครองออกมา ทว่าคนที่เพียงชมดูอยู่ด้านข้างจะอย่างไรก็ถูกกางกั้นอยู่หนึ่งชั้น มีแต่เคยร่วมงานกัน หรือเคยยืนอยู่ฝ่ายตรงข้ามกัน เคยเค้นสมองต่อกรกันอย่างแท้จริงจึงจะรู้ซึ้งถึงฝีไม้ลายมือของอีกฝ่ายได้
หากเก่งแค่หลักการก็เพียงพอแล้ว หานเฟย* ที่เรียบเรียงเขียนกลยุทธ์แห่งราชันออกมาเป็นแบบแผนได้ ก็คงจะไม่ตายด้วยเหลี่ยมเล่ห์ของหลี่ซือง่ายดายเช่นนั้นหรอก
ต่างจากหยวนเซิ่น อย่างไรเสียเฉิงเซ่าซางกับฮั่วปู้อี๋ก็เคยอยู่ร่วมกันมาแรมปี ความดุดันของวิธีการ ความลุ่มลึกของอุบาย ตลอดจนความเฉียบขาดในการลงมือของคนผู้นี้ นางล้วนสัมผัสมาอย่างลึกซึ้ง มีประโยคหนึ่งฮั่วปู้อี๋กล่าวได้ถูกต้อง หากเขาไม่คำนึงถึงสิ่งใดขึ้นมาจริงๆ คงมีแต่ท่านลุงฮ่องเต้ผู้เหลี่ยมจัดยิ่งกว่าจึงจะยับยั้งเขาได้ รัชทายาทก็ไม่แน่ว่าจะมีกำลังพอ…นี่ต่างหากที่ชวนให้คนสิ้นหวัง
อยู่ในราชสำนัก ฮั่วปู้อี๋เป็นขุนนางที่ท่านลุงฮ่องเต้ใช้สอยได้คล่องมือที่สุด ทว่าในเรื่องคู่ครอง ท่านลุงฮ่องเต้ไม่ต่างจากสุนัขรับใช้ที่ภักดีของฮั่วปู้อี๋ หากเขาหมายจับนางตุ๋นน้ำแดง พระองค์ก็เป็นจำพวกที่จะยื่นซีอิ๊วให้ทันใด ดังนั้นอย่าว่าแต่จะไม่ขัดขวาง พระองค์ไม่โห่ร้องให้กำลังใจอยู่ด้านข้างก็นับว่ามีคุณธรรมมากแล้ว
ในหัวใจเฉิงเซ่าซางท่วมท้นด้วยความกลัดกลุ้มสารพัน นางจำต้องหางานให้ตนเองหันเหความสนใจ จึงไปสอบถามมารดาบังเกิดเกล้าว่ากล่อมเกลาผู้กล้าตี้อู่เป็นเช่นไรบ้าง เซียวฮูหยินคลี่ยิ้มภาคภูมิ ตอบแบบไม่ลงรายละเอียดว่า…ชัยชนะอยู่ไม่ไกลแล้ว หากดำเนินการได้เหมาะสม ต่อไปอาจารย์หมัดมวยสำหรับพี่น้องบุตรหลานของเจ้าก็เท่ากับจองตัวเป็นที่เรียบร้อย
เฉิงเซ่าซางทึ่งในตัวท่านพ่อเฉิงกับเซียวฮูหยิน รีบซักถามว่าทำได้อย่างไรกัน อีกฝ่ายก็บอกเล่าวิธีการคร่าวๆ
เริ่มจากขังตี้อู่เฉิงที่ห้องเก็บของใต้ดินอันว่างโหวง ให้กินให้ดื่ม แต่ไม่พูดด้วยสักประโยคเดียว ทำให้เขาอัดอั้นจนแทบคลั่ง รอจนเวลาพอสมควรค่อยให้ท่านพ่อเฉิงเข้าไปชวนสนทนา ตี้อู่เฉิงย่อมจะไม่แสร้งทำเย็นชาดุจเกล็ดน้ำค้าง ทว่าเต้นผางก่นด่าบรรพชนสกุลเฉิงสิบแปดรุ่น
…รู้จักคำรามโกรธเกรี้ยวก็ดีแล้ว ขั้นตอนที่หนึ่งเป็นอันลุล่วง