ถัดมาท่านพ่อเฉิงก็เริ่มเปิดบรรยาย โดยงัดฝีมือที่เคยใช้ล่อลวงคนในบ้านเกิดให้ก่อกบฏ ไม่ใช่สิ ให้ก่อการต่อต้านทรราช…ใจความคือในอดีตขุนนางเจ้าหน้าที่ของอำเภอติดกันทุจริตกดขี่ข่มเหงราษฎรเป็นประจำ ตอนนั้นมีจอมยุทธ์นิรนามผู้หนึ่งดุจลงมาจากฟ้า สังหารขุนนางเจ้าหน้าที่หมดที่ว่าการอำเภอในชั่วข้ามคืนโดยไม่มีใครจับเขามาดำเนินคดีได้ นับแต่นั้นผู้มารับตำแหน่งใหม่ล้วนไม่กล้ากระทำการเลยเถิด
ทั้งส่งผลให้ขุนนางเจ้าหน้าที่หลายอำเภอรอบข้างภูมิลำเนาของสกุลเฉิงล้วนรู้กาลเทศะยิ่ง เรื่องเก็บอากรเกณฑ์แรงงานก็รู้จักหยุดแต่พอดี กลัวแต่ว่าวันใดนอนฝันอยู่จะถูกฆ่ายกครัว ต่อมาตอนที่ท่านพ่อเฉิงชูธงจัดตั้งกองกำลัง ขุนนางเจ้าหน้าที่เหล่านี้ก็หลับตาข้างหนึ่ง ทำตัวหูหนวกเป็นใบ้ เมื่อโจรผู้ร้ายภัยสงครามผุดขึ้นทุกหย่อมหญ้า ยังจับมือกับท่านพ่อเฉิงร่วมกันต่อกร ความสัมพันธ์ระหว่างทางการท้องถิ่นกับชาวบ้านปรองดองยิ่งยวด
‘…ตอนนั้นข้ายังเยาว์ แต่ก็รู้แล้วว่า…ที่แท้ไม่เพียงแต่ฮ่องเต้ปรีชาขุนนางปราดเปรื่องที่ช่วยราษฎรให้พ้นทุกข์ยากแสนเข็ญได้ จอมยุทธ์ผู้กล้าที่ทรงคุณธรรมก็ช่วยผู้คนให้พ้นภัยได้เช่นกัน!’ ในฐานะผู้ได้รับประโยชน์โดยตรง เฉิงสื่อพูดด้วยอารมณ์ฮึกเหิมยิ่ง
‘ได้ยินว่าอาจารย์ที่ถ่ายทอดวิชาให้ผู้กล้าตี้อู่เป็นจอมยุทธ์นามกระเดื่องในราชวงศ์ก่อน เพียงเพื่อจะตามหาหลานสาวคืนให้สามีภรรยาที่แก่เฒ่าไร้ที่พึ่งคู่หนึ่ง เขาเคยถล่มค่ายโจรเจ็ดแห่งราบเป็นหน้ากลองในเดือนเดียว และเพื่อจะไม่ให้ทางการฆ่าล้างหมู่บ้านหลายแห่งที่ต้องสงสัยว่าติดโรคระบาด เขาในวัยชราก็ยังหวนคืนยุทธภพ หนึ่งคนหนึ่งกระบี่ เลือดย้อมทั่วกาย ชิงตัวหมอเลื่องชื่อจากในจวนอ๋องแห่งหนึ่งมาตรวจรักษาผู้คนในหมู่บ้าน ได้ยินว่าราษฎรแถบนั้นยังบูชาป้ายอายุวัฒนะ* ของอาจารย์ท่านตราบจนบัดนี้ ธูปเทียนขอพรโชติช่วงยิ่ง เฮ้อ นี่สิสิ่งที่ชายชาตรีพึงจะเป็น!’
ท่านพ่อเฉิงตบขาอุทานชื่นชม สีหน้าใฝ่หาเลื่อมใส ผิดกับตี้อู่เฉิงที่ผุดรอยกระดากละอายบนใบหน้า ขยับมือเท้าอย่างกระสับกระส่าย
…รู้ว่ายี่สิบกว่าปีมานี้ตนเองไม่มีความสำเร็จสักเรื่องเดียวก็ดีแล้ว ขั้นตอนที่สองเป็นอันลุล่วง
มาถึงขั้นนี้ ท่านพ่อเฉิงค่อยเริ่มพูดจาแทนสกุลหยวน
ความว่าสกุลหยวนในตอนนั้นเกือบจะล่มสลายแล้วจริงๆ ธงก่อการชูออกไปแล้ว ไพร่พลของลี่ตี้อยู่เบื้องหน้าประกาศว่าจะฆ่าล้างสกุลหยวนให้สิ้น หากสกุลหยวนพลาดพลั้งแม้เพียงนิด ผู้เฒ่าผู้เยาว์ทั้งตระกูลก็จะไม่รอดพ้นสักคนเดียว ภายใต้สถานการณ์เยี่ยงนี้ ในฐานะทายาทบุรุษสายตรงเพียงหนึ่งเดียวที่เป็นผู้ใหญ่และมีความสามารถพอ หยวนเพ่ยไม่มีทางจากไปกับตี้อู่เหออี๋เด็ดขาด ส่วนตี้อู่เหออี๋ที่ไม่รู้จักหนักเบา เอาแต่ตามตอแยให้หยวนเพ่ยปลีกตัวมาครองรักกับตนตราบนานเท่านานนั้น ผู้อาวุโสในสกุลหยวนที่กลัดกลุ้มดั่งไฟสุมทรวงแล้วย่อมอยากจะฉีกกินเนื้ออีกฝ่ายทั้งเป็น
ท่านพ่อเฉิงเกิดมาพร้อมกับหน้าตาสัตย์ซื่อของคนแสนดี ยามเอ่ยวาจาที่ชวนอบอุ่นหัวใจยิ่งให้ผลลัพธ์เป็นเท่าตัว ในที่สุดตี้อู่เฉิงก็เปิดใจจนได้ ‘ท่านพ่อท่านแม่ข้าจากไปเร็ว น้องสาวติดตามข้าบุกเหนือตะลุยใต้มาแต่เล็ก ถูกข้าตามใจจนเสียคน พยศจนเคยตัว จึงบ่มเพาะเป็นนิสัยใจร้อนถือดี ยอมหักไม่ยอมงอ’
ตอนนั้นพอรู้ว่าสกุลหยวนเกิดเรื่อง ตี้อู่เฉิงก็รู้แล้วว่าหยวนเพ่ยน้องชายร่วมสาบานต้องกลับไปแน่ เขาจึงบอกน้องสาวว่าให้ไปเป็นอนุที่สกุลหยวน หรือไม่ก็ตัดอีกฝ่ายเสียให้ขาด ทว่าตี้อู่เหออี๋ผู้ซึ่งแต่ไรมาไม่เคยประสบความล้มเหลวกลับดันทุรังจะให้บุรุษในดวงใจทำตามคำมั่น ครองคู่กับนางเฉกเงาตามตัว จึงตามพัวพันอีกฝ่ายไม่เลิกรา ตี้อู่เฉิงตะลุยยุทธภพมาหลายปี ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก เขาเองก็รู้ว่าน้องสาวทำเช่นนี้ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง เสมือนสาดเกลือบนแผลของคนสกุลหยวนไม่มีผิด
…เริ่มหวนทบทวนเรื่องของสกุลหยวนในตอนนั้นแล้ว ดีมาก ขั้นตอนที่สามเป็นอันลุล่วง
‘ข้าเห็นท่านผู้กล้าก็เป็นคนมีเหตุมีผล ในเมื่อใจท่านล้วนกระจ่างแจ้ง เหตุใดตอนนั้นไม่ห้ามปรามน้องสาวเล่า หากปรามไว้ได้ ต่อมาก็คงไม่บ่มเพาะเป็นเรื่องน่าสลดใจ’ ท่านพ่อเฉิงถาม
ตี้อู่เฉิงเงียบงันไปเนิ่นนาน
มิใช่เขาไม่เคยห้ามปราม ทว่าไม่อาจทำใจเหี้ยมสั่งสอนน้องสาวได้จริงๆ