สาเหตุแรกเพราะเขารักถนอมนาง ไม่อาจทนเห็นนางโศกเศร้าเจียนขาดใจ สาเหตุที่สองเพราะตัวเขาก็ลอบวาดหวังเช่นกัน น้องชายร่วมสาบานของเขารักนางลึกซึ้งยิ่ง ไม่แน่อาจยอมละทิ้งทางบ้านมาเลือกนางก็เป็นได้ ทว่าเขาเองก็รู้อยู่ ความคิดนี้ต่ำช้าสิ้นไร้คุณธรรม ผิดต่อคนสกุลหยวนทั้งตระกูลถึงขีดสุด ดังนั้นเขาจึงมิเพียงไม่กล้าพูดออกจากปาก กระทั่งคิดก็ไม่กล้าคิดมากไปกว่านี้
มาถึงขั้นนี้ก็ถึงคราวเซียวฮูหยินออกหน้าแล้ว
‘ผู้ว่าการหยวนดวงตกสาหัสแปดชาติชัดๆ จึงได้มารู้จักท่านกับน้องสาว ซ้ำร่วมสาบานกับท่านอีก! ฮึๆ หากเห็นเขาเป็นพี่น้องจริงก็ควรเป็นทุกข์เป็นร้อนเสมือนเกิดกับตัว ตอนที่สกุลหยวนนองด้วยทะเลโลหิต ไฉนไม่ยักเห็นจอมยุทธ์ใหญ่ตี้อู่ผู้มีวรยุทธ์ล้ำเลิศทุ่มแรงช่วยเหลือเล่า!’
ใบหน้าของตี้อู่เฉิงฉายความรวดร้าว ตอนนั้นสกุลหยวนประสบภัย หญิงม่ายบุตรกำพร้าหลบซ่อนไปทั่ว คนที่หนีไม่ทันล้วนถูกจับเข้าคุก สังหารอย่างทารุณแล้วแขวนประจานศพ ตอนนั้นตนกำลังทำอันใดอยู่ อ้อ ตนกำลังเพียรปลอบน้องสาวที่เจ็บปวดจากการสูญเสียคนรัก
เซียวฮูหยินเยาะหยันเสียงระรัว ‘ใต้เท้าของข้าก็มีพี่ชายร่วมสาบาน คือเจ้าเมืองสวีใต้เท้าวั่นซงไป่ ยี่สิบกว่าปีมานี้วั่นกับเฉิงสองสกุลซื่อตรงจริงใจต่อกัน สุขทุกข์ร่วมเสพ สนิทสนมดุจครอบครัวเดียว! ข้ากล้าพูดได้เลย ขอเพียงเพื่อแลกเปลี่ยนชีวิตใต้เท้าของข้าคืนมา เว้นแต่ฮูหยินผู้เฒ่าวั่นแล้ว ชีวิตของผู้ใหญ่ผู้น้อยในสกุลวั่น รวมถึงตัวใต้เท้าวั่น ภรรยา อนุ กับบุตรธิดาของเขาเอง เขาก็ยอมสละได้ทั้งสิ้น!’
ถ้อยคำนี้ทำให้ตี้อู่เฉิงละอายไม่คลาย ส่วนท่านพ่อเฉิงร้อนตัวนิดๆ จนต้องขยับท่านั่ง ในใจเอ่ยวาจาที่ไม่ค่อยจะมีมโนธรรมนัก…ให้ข้าเอาภรรยาเซียวหยวนอีกับบุตรธิดาไปแลกกับพี่ชายร่วมสาบานวั่นซงไป่ ข้า…คือว่า คง…ไม่น่าจะยินยอมหรอก
‘ ‘ซื่อตรงจริงใจ’ สี่คำนี้พูดง่ายแต่ทำยาก ในหัวใจของจอมยุทธ์ใหญ่ตี้อู่ ทางบ้านของน้องชายร่วมสาบานแปรสภาพเป็นภูเขาศพทะเลโลหิต ความเป็นตายแขวนอยู่บนเส้นด้าย ก็คงไม่สำคัญเท่าน้ำตาไม่กี่หยดของน้องสาวกระมัง!’
วาจาของเซียวฮูหยินคมกริบ ไม่ไว้ไมตรีแม้แต่น้อย ‘แม่นางตี้อู่แม้ตายอนาถ ทว่านายท่านผู้เฒ่าหยวนก็เอาหนึ่งชีวิตชดใช้หนึ่งชีวิตไปแล้ว ท่านยังจะเอาอย่างไรอีก หรือว่า…หนึ่งชีวิตของบิดาบังเกิดเกล้าของน้องชายร่วมสาบานชดเชยกับน้องสาวของท่านไม่ได้? ยี่สิบกว่าปีมานี้ ส่วนตัวแล้วท่านผิดต่อไมตรีที่ร่วมสาบาน เห็นแก่ตัว คิดถึงแต่ผลได้ผลเสียส่วนตน รู้จักแต่สงสารตนเอง ส่วนรวมแล้วท่านผิดต่อบุญคุณที่อาจารย์ถ่ายทอดวิชาให้ ยี่สิบกว่าปีที่ล่วงเลยไปนั้นเป็นช่วงที่ใต้หล้าปั่นป่วน ราษฎรทุกข์เข็ญ ทว่าจนแล้วจนรอดท่านกลับจมจ่อมอยู่กับความบาดหมางกับการล้างแค้นที่ไร้ประโยชน์สิ้นดี ไม่มีส่วนช่วยราษฎรบนแผ่นดินนี้แม้เพียงน้อยนิด! ฮึๆ อาจารย์ของท่านก็ช่างตาบอด ยอดวิชาทั้งหมดที่มีกลับสอนให้คนเยี่ยงท่านเสียได้!’
…ตี้อู่เฉิงแววตาเลื่อนลอยโดยสิ้นเชิง ขั้นตอนที่สี่เป็นอันลุล่วง
“แล้วตอนนี้เล่าเจ้าคะ” เฉิงเซ่าซางซักไซ้ถึงขั้นตอนที่ห้า
เซียวฮูหยินยิ้มบางๆ “ใช้น้ำใจทำให้หวั่นไหว ใช้เหตุผลทำให้เข้าใจ ตามด้วยเตือนแสกหน้าเรียกสติ ตอนนี้ก็ให้เขาพักหายใจสักนิด ค่อยยังชั่วแล้วก็จะดีเอง เสี่ยวจู้กับโอวเอ๋อร์ล้วนชอบเขา วันๆ รบเร้าให้เขาเล่าเรื่องนู่นนี่ ให้เขาถ่ายทอดวรยุทธ์ ไว้แม่จะทาบทามสตรีให้เขา วันหน้าเขาให้กำเนิดบุตรธิดา กอบกู้วงศ์ตระกูล เรื่องราวก็จะนับว่าข้ามผ่านไปแล้ว”
เฉิงเซ่าซางไม่เชื่อ วิ่งไปแอบดูที่เรือนพักของเฉิงจู้เฉิงโอว เห็นตี้อู่เฉิงนั่งอยู่กลางลาน ชี้แนะท่วงท่าพลิกมือคว้าจับให้กับเด็กชายสองคนอยู่จริงๆ เสียด้วย ในมือยังเหลากระบี่ไม้อันประณีตสองเล่ม…บุรุษวัยกลางคนที่ผ่านโลกมามากผู้นี้ กระไอดุร้ายเต็มใบหน้าเมื่อแรกได้สลายไปไม่เห็นแล้ว สิ่งที่มาแทนที่คือความอดทนอดกลั้นอันไม่รู้สิ้น
“ท่านพ่อท่านแม่มีฝีมือจริงๆ!” เฉิงเซ่าซางอุทานด้วยความนับถือเลื่อมใส
เฉิงเซ่ากงกล่าว “คนเราล้วนเป็นเช่นนี้ เรื่องบ้านตนเองอับจนหนทาง เรื่องบ้านผู้อื่นกลับรับมือได้สบาย จวบจนตอนนี้ที่เจ้ายังไม่ยอมคืนดีกับท่านย่า ท่านพ่อท่านแม่ก็ไม่มีหนทางสักนิดไม่ใช่หรือไร”
เฉิงเซ่าซางขมวดคิ้ว “ได้ยินว่าท่านย่าป่วย”
“ใช่ บอกสาเหตุได้ไม่ชัด ที่รู้คือกินไม่ค่อยลง ผ่ายผอมลงทุกวัน หมอล้วนบอกว่าเป็นอาการชรา” เฉิงเซ่ากงกล่าว “ความจริงอายุท่านย่าไม่น้อยเลย ท่านแม่บอกว่าหากท่านย่ายังไม่ดีขึ้น ก็ต้องเรียกพวกท่านอากับพวกพี่ชายกลับมาแล้ว”
เฉิงเซ่าซางเข้าใจว่านี่หมายถึงเตรียมจัดงานศพ…กระนั้นนางยังคงไม่เปล่งเสียงสักคำ ปฏิเสธที่จะแสดงความห่วงใยต่อฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงในวาระสุดท้าย มิใช่นางใจแข็ง หากแต่…ถึงอย่างไรก็ต้องมีสักคนจดจำเฉิงเซ่าซางตัวจริงที่ตายอย่างอยุติธรรมผู้นั้น