บุรุษผู้หนึ่งไม่อยากแต่งกับสตรีนางหนึ่ง เว้นเสียแต่ฝ่ายสตรีจะมีอำนาจมีผลได้ผลเสียเหนือกว่าลิบลับ หาไม่ก็ยากแสนเข็ญที่จะเปลี่ยนใจบุรุษ แม้แต่ท่านลุงฮ่องเต้ยังบังคับฮั่วปู้อี๋ไม่สำเร็จ ชัดเจนว่าใต้เท้าลั่วยิ่งไร้กำลังจะทำอันใดได้ หนำซ้ำเดิมทีระหว่างฮั่วปู้อี๋กับลั่วจี้ทงก็ยังไม่มีสถานะใดๆ ทั้งสิ้น
“นี่ๆ เจ้าอย่ามามองข้า ข้าไม่ต้องการจะติดต่อกับฮั่วปู้อี๋” เฉิงเซ่าซางเห็นลั่วจี้ทงมองมาด้วยความมุ่งหวัง ก็รู้ชัดว่าในใจอีกฝ่ายคิดอันใดอยู่ “ข้าจะไม่ขอความเห็นใจจากฮั่วปู้อี๋แทนเจ้า และจะไม่ขอร้องให้เขามาแต่งกับเจ้าด้วย…นี่เป็นเรื่องของเจ้าเอง”
ลั่วจี้ทงหน้าม่อยคอตก
“อีกอย่าง…หากข้าขอร้องเขา แล้วเขายอมทำตามจริง เช่นนั้นข้าขอให้เขาอย่ามาก่อกวนข้า เจ้าว่าเขาจะยอมฟังหรือไม่ฟังเล่า” เฉิงเซ่าซางยิ่งคิดยิ่งกระสับกระส่าย
ลั่วจี้ทงแจ้งใจว่าถ้อยคำนี้ไม่ผิด จิตใจจึงยิ่งว้าวุ่น
ตอนนี้เองอาเหมยเดินเข้ามาในห้อง นำสุราผลไม้ที่ทำใหม่มาให้คนทั้งสอง ก่อนจากเห็นกระดิ่งลมซึ่งแขวนสูงอยู่ใต้ชายคาระเบียงไม่หมุนให้เกิดเสียงแล้วจึงอยากปลดลงมาเพื่อเอาไปซ่อม เฉิงเซ่าซางเห็นส่วนสูงของอีกฝ่ายยังไม่เพียงพอ เขย่งปลายเท้าก็ยังคงเอื้อมไม่ถึง นางจึงคลี่ยิ้มลุกขึ้นไปช่วย
ยามนี้ล่วงถึงเดือนสี่ที่หอมจรุงด้วยกลิ่นบุปผาพฤกษา และมีสภาพอากาศอันอบอุ่น เฉิงเซ่าซางจึงสวมชุดลำลองกลางเก่ากลางใหม่ที่อ่อนนุ่มหลวมยาวไร้ซับในตัวหนึ่ง
ทีแรกนางยกแขนขวาขึ้น พาให้แขนเสื้อที่หลวมกว้างเลื่อนลงมาตามเรียวแขนอันขาวเนียน จวบจนเกือบถึงต้นแขนส่วนที่ใกล้หัวไหล่ นางพลันกดแขนเสื้อไว้โดยจิตใต้สำนึก จากนั้นลดแขนขวาลง เปลี่ยนเป็นใช้แขนซ้ายเอื้อมปลดกระดิ่งลมนั้นแทน
หัวใจของลั่วจี้ทงเต้นตุบอย่างรุนแรง
เฉิงเซ่าซางส่งกระดิ่งลมให้อาเหมย แย้มยิ้มพลางหมุนตัวเดินกลับมา เห็นสีหน้าลั่วจี้ทงแปลกชอบกลจึงเอ่ยถาม “เจ้าเป็นอะไรไป”
“ให้ข้าดูแขนของเจ้าหน่อย” ลั่วจี้ทงเอ่ยตาค้าง
“เจ้าว่าอะไรนะ” เฉิงเซ่าซางกังขา
“ให้ข้าดูแขนขวาของเจ้าหน่อย” ลั่วจี้ทงยืนพรวดขึ้น
เฉิงเซ่าซางหดไหล่ขวาไปด้านหลังตามสัญชาตญาณ “เจ้าพูดเหลวไหลอะไร…เอาเถิด วันนี้สิ่งที่ควรพูดล้วนพูดจบแล้ว แม่นางลั่วยังคงเร่งกลับไปจะดีกว่า ไปดีๆ นะ ข้าไม่ส่ง”
สีหน้าของลั่วจี้ทงถึงกับแฝงความบ้าบิ่นอยู่หลายส่วน นางเห็นเฉิงเซ่าซางจะร้องเรียกสาวใช้ก็ปรี่ตรงมาบิดตรึงแขนของอีกฝ่าย หมุนตัวแล้วงอเข่ากระทุ้งใส่หนึ่งที เฉิงเซ่าซางเจ็บจนเสียงอู้อี้เลยทีเดียว…นี่ก็คือความแตกต่างระหว่างอันธพาลหญิงที่ไม่เข้าขั้นกับสตรีชั้นสูงที่เพียบพร้อมทั้งบุ๋นบู๊อย่างแท้จริง
ลั่วจี้ทงถลกแขนเสื้อข้างขวาของเฉิงเซ่าซางขึ้นในคราวเดียว เพ่งตามองไปก็เห็นรอยฟันเป็นระเบียบสองแนวปรากฏบนแขนกลมกลึงเนียนละเอียดสีขาวหิมะ รอยฟันทิ้งแผลเป็นไว้เนิ่นนานแล้ว จึงเหลือเพียงสีเหลืองอ่อนจางๆ วงหนึ่ง
นางฉุกคิดได้ทันใด ขณะอยู่เมืองชายแดนพายัพ ฮั่วปู้อี๋มักทำท่าแปลกๆ อย่างหนึ่งคือลูบต้นแขนขวาของเขาเป็นประจำ จมอยู่ในภวังค์ความคิดเป็นนานไม่พูดจา ทว่าเผยสีหน้าอันละมุนละไมปนหมองเศร้าออกมารางๆ
“ดีๆๆ เป็นเช่นนี้นี่เอง ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง!” ลั่วจี้ทงแค่นหัวเราะอย่างระทมทุกข์ “ตอนนี้…ข้าเข้าใจทั้งหมดเสียที!” นางรู้สึกว่าพูดกับเฉิงเซ่าซางต่อไปก็ไม่มีความหมายอันใดอีก จึงคลายมือออก โงนเงนถอยหลังไปหลายก้าว ก่อนสะบัดแขนเสื้อจากไป
เฉิงเซ่าซางนวดคลึงแขน คลานขึ้นจากพื้น แล้วด่ากราดใส่เงาหลังของลั่วจี้ทง “เจ้ามันป่วย ต้องกินยาแล้ว!”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 13 ก.ค. 66 เวลา 12.00 น.