บทที่ 159
การประชุมยุติลง ฮ่องเต้ประกาศเลิกประชุมด้วยสีหน้าไม่พอใจ ขณะเดียวกันก็เรียกตัวขุนนางสำคัญคนสนิทสี่ห้าคนไปหารือต่อที่วังอุดร เดิมพระองค์จะเรียกฮั่วปู้อี๋ไปด้วย ทว่าเหลือบเห็นสีหน้ารัชทายาทดำทะมึนดุจก้นหม้อจึงปรายตามอบภารกิจให้บุตรบุญธรรม ความจริงฮั่วปู้อี๋ไม่อยากไปที่ใดทั้งสิ้น เขาอยากจะรุดกลับจวนไปจัดการลั่วจี้ทงเสีย แต่ในเมื่อโชคไม่ดีถูกบิดาบุญธรรมหน่วงเหนี่ยว เขาก็ได้แต่ติดตามรัชทายาทกลับตำหนักบูรพา
“กระทำชั่วตามอำเภอใจ กำเริบเสิบสาน บังอาจนัก!” รัชทายาทดึงพระมาลาของตนออกในคราวเดียว ปาลงบนโต๊ะอย่างหนักหน่วง ส่งผลให้ไข่มุกแวววาวดุจหิมะหลายลูกกลิ้งกลุกๆ ตกลงบนพื้น
ท้ายตำหนักบูรพา ในโถงประชุมมีผู้คนนั่งอยู่ซ้ายขวาฝั่งละสามสี่คน พวกเขาบ้างเป็นขุนนางสวมชุดเข้าเฝ้าสีแดงตัดดำ บ้างเป็นที่ปรึกษาสวมชุดยาวแขนกว้าง ยามนี้ฟังออกว่ารัชทายาทโกรธกริ้วก็พากันเอ่ยคล้อยตาม
“รัชทายาทตรัสถูกต้องพ่ะย่ะค่ะ” คนผู้หนึ่งยืดกายประสานมือ กล่าวเสียงกังวาน “ราชสำนักประกาศคำสั่งรังวัดที่ดิน จุดประสงค์คือจะตรวจสอบจำนวนที่ดินกับแรงงานในแต่ละอำเภอ เมือง และมณฑล เพื่อให้เอื้อต่อการควบคุมเก็บอากรในภายหน้า อันคำว่า ‘ใต้หล้า’ คือ ‘ใต้หล้าของแว่นแคว้น’ อันคำว่า ‘แว่นแคว้น’ คือ ‘แว่นแคว้นของราชสำนัก’ เดิมทีการตรวจสอบจำนวนที่ดินกับแรงงานก็เป็นสิ่งที่ราชสำนักพึงกระทำอยู่แล้ว ถึงกับมีคนกล้าตั้งข้อสงสัย!”
คนอีกผู้หนึ่งเอ่ยสนับสนุนเสียงดัง “มิผิด! ไฟสงครามลุกลามหลายสิบปี ในที่สุดบัดนี้ใต้หล้าก็ผนวกเป็นหนึ่ง หมดสิ้นเหตุวุ่นวายเสียที ทว่าจำนวนที่ดินกับแรงงานที่ราชวงศ์ก่อนบันทึกไว้ต่างจากในยามนี้มาก หากไม่เพิ่มการตรวจสอบ จะปกครองบ้านเมืองได้เช่นไร!”
ชายหนุ่มผู้มีคิ้วตาดุดันหัวเราะเสียงเย็นชา “ทุกท่านยังพูดไม่ถูกจุดสำคัญ! ที่ดินกับแรงงานเดิมทีไร้เจ้าของ เหตุที่คำสั่งรังวัดที่ดินถูกคนรุมต่อต้านเพราะมีคนกลัวว่าราชสำนักจะจำกัดการควบรวมที่ดินและการสะสมบ่าวไพร่ของพวกเขามิใช่หรอกหรือ! รอจนที่ดินกับแรงงานทั่วหล้าตกเป็นของตระกูลใหญ่จนหมดสิ้นจริงๆ ราชสำนักจะไปเก็บอากรจากที่ใด จะไปหาใครมาเป็นแรงงานเกณฑ์! ถึงตอนนั้นใต้หล้ายังจะใช่ใต้หล้าของราชสำนักอยู่อีกหรือ!”
“เซ่าเฉิงระวังคำพูดด้วย!” ราชบุตรเขยรองซึ่งนั่งอยู่ตำแหน่งแรกด้านล่างขวามือของรัชทายาทเตือนเสียงเบา “อย่าได้พูดเสียน่ากลัวเกินจริง ถึงขั้นนี้แล้วเมื่อไรกัน วาจานี้หากแพร่ออกไปจะไม่ดีกับเจ้าเอง”
เดิมรัชทายาทกำลังจะโพล่งชมชายหนุ่มนามเซ่าเฉิงผู้นั้น ทว่าถูกพี่เขยรองของตนขัดเสียก่อน จึงเปลี่ยนมาเอ่ยถาม “จื่อเซิ่ง เจ้าว่าอย่างไร”
ฮั่วปู้อี๋ซึ่งนั่งอยู่ตำแหน่งแรกด้านล่างซ้ายมือของรัชทายาทตอบปนยิ้ม “ที่ทุกท่านกล่าวมาล้วนถูกต้อง”
“ข้าไม่อาจเห็นพ้องกับคำกล่าวของฟู่หม่าตูเว่ยเป็นอันขาด ยามนี้ใต้หล้าเพิ่งเป็นปึกแผ่น เดิมก็ไม่ควรมีการควบรวมที่ดินกับแรงงาน เห็นชัดว่าเป็นตระกูลใหญ่เหล่านั้น…” เซ่าเฉิงแย้งเสียงก้อง
“ทุกท่านโปรดฟังข้าสักคำ” บัณฑิตวัยกลางคนผู้หนึ่งเอ่ยแทรกขึ้น “คำกล่าวเมื่อครู่ของท่านทั้งสองหากเอ่ยในที่ประชุมใหญ่วันนี้ จะต้องถูกผู้อื่นวิจารณ์ทั้งคู่แน่ บ้างจะต้องหาว่าตระกูลของราชบุตรเขยเป็นขุนนางระดับสูงมาหลายชั่วคน ที่ดินกับแรงงานที่มาพึ่งพิงล้วนยากจะนับได้ ด้วยเหตุนี้ท่านจึงได้พูดราวกับไม่หนักหนา บ้างจะต้องหาว่าเซ่าเฉิงมีฐานะทางบ้านยากไร้ กำลังเฝ้าคอยตระกูลผู้มั่งมีคายที่ดินออกมาเพื่อจะได้ฮุบเป็นของตน”
เซ่าเฉิงโกรธเกรี้ยว “วาจาเหลวไหล!”
ราชบุตรเขยรองกล่าว “จื่อเซิ่ง แล้วเจ้าเล่า”
ฮั่วปู้อี๋มองสีท้องฟ้าที่เบื้องนอก “ล้วนมีเหตุผล”
“ฮึ่ม!” รัชทายาททุบหนึ่งกำปั้นบนหน้าตักของตนเอง “เสด็จพ่อทรงเมตตาเกินเหตุ ตระกูลใหญ่ที่มีกำลังพลเหล่านั้นมีทั้งคน ทั้งที่ดิน ทั้งอาวุธ ต่อหน้าขุนนางราชสำนักถึงกับลั่นวาจาสามหาวว่าจะไม่ปฏิบัติตามคำสั่งรังวัดที่ดินเด็ดขาด! ส่วนขุนนางท้องถิ่นก็ถึงกับหวาดกลัวพวกเขา ซ้ำยังรับสินบน ปล่อยปละให้พวกเขาปกปิดไม่รายงาน เอาจำนวนที่ขาดนั้นยกยอดไปบนศีรษะของชาวบ้านสามัญทั้งหมด ทำให้ชาวบ้านธรรมดาเหล่านี้แบกรับภาระถูกเกณฑ์แรงงานรวมถึงอากรอันหนักอึ้ง ฮึ ข้าว่าจะกลายเป็นทางการบีบคั้นให้ราษฎรต้องลุกฮืออีกครั้งแล้ว!”
ราชบุตรเขยรองยิ้มกล่าว “รัชทายาททรงมองในแง่ดีสิ…นี่เห็นชัดว่าตระกูลใหญ่ทั่วแผ่นดินไม่อาจใช้มือเดียวบังฟ้า ขุนนางทุจริตทั่วหล้าไม่อาจจับมือกันเหนียวแน่น พอมีคนสมคบกับผู้มีอำนาจในท้องถิ่น เป็นภัยต่อราษฎร จึงได้มีขุนนางที่ซื่อตรงเปี่ยมปณิธานรู้สึกว่าไม่เป็นธรรม รายงานเหตุละเมิดกฎหมายเหล่านี้ต่อราชสำนักในชั่วไม่กี่วัน”