ชายหนุ่มคิ้วเข้มตาโตอีกผู้หนึ่งเอ่ยกลั้วหัวเราะเสียงกังวาน “นับจากแต่งกับองค์หญิง ถ้อยคำที่พูดออกจากปากของฟู่หม่าตูเว่ยกล่าวได้ว่าเสนาะหูทุกประโยค ดั่งได้อาบไล้สายลมวสันต์ทีเดียว!”
หลายคนในโถงหัวเราะครืน ผิดกับเซ่าเฉิงที่ถามว่า “ขอบังอาจทูลถามรัชทายาท ทรงคิดจะทำเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ”
รัชทายาทตอบเสียงหนัก “ข้าอยากทูลเสนอเสด็จพ่อ ตระกูลใหญ่ทั้งหมดที่มีการปกปิดไม่รายงานล้วนต้องเอาโทษ ที่ควรตัดศีรษะก็ตัดศีรษะ ที่ควรล้างตระกูลก็ล้างตระกูล!”
วาจานี้พอกล่าวออกมา กลุ่มที่มีเซ่าเฉิงเป็นผู้นำต่างโห่ร้องเสียงดังว่าดี ราชบุตรเขยรองกลับท้วงว่า “รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเห็นว่าเช่นนี้ไม่เหมาะ ฝ่าบาทเองก็ทรงไม่เห็นพ้องด้วยหรอก” หลายคนด้านหลังของเขาต่างคิดเห็นเช่นเดียวกันนี้
รัชทายาทมองไปทางฮั่วปู้อี๋ ฮั่วปู้อี๋ก็เหลียวมองโดยรอบ ส่งผลให้ผู้คนล้วนเงียบเสียง แรกเริ่มเขาคิดว่ามิสู้ให้บิดาบุญธรรมเป็นผู้ ‘สั่งสอน’ บุตรชายด้วยตนเอง ทว่าเห็นแก่ที่ฮ่องเต้กับรัชทายาทล้วนให้ความใกล้ชิดกับตน ฮั่วปู้อี๋จึงจำต้องข่มอารมณ์กล่าว “รัชทายาท กระหม่อมขอถามหนึ่งประโยค หากสืบแล้ว พบว่าตระกูลใหญ่ทั่วหล้ามีถึงแปดเก้าส่วนที่ปกปิดจำนวนแรงงานกับที่ดิน รัชทายาทก็จะทรงตัดศีรษะล้างตระกูลทั้งหมดหรือไร”
เห็นรัชทายาทไม่พูดจา เซ่าเฉิงก็เอ่ยเสียงดัง “อู่ฮ่องเต้ของราชวงศ์ก่อนประกาศ ‘คำสั่งอพยพสู่เม่าหลิง’* บัญชาให้ตระกูลใหญ่ทั่วหล้าทยอยอพยพ หมายบั่นทอนขุมกำลังของผู้มีอำนาจเหล่านี้ เหตุใดฝ่าบาทของพวกเราจะทรงทำบ้างไม่ได้!”
คนผู้หนึ่งเยาะหยัน “อู่ฮ่องเต้ยังเป็นพวกบ้าสงครามด้วย หรือเจ้าก็อยากให้ฝ่าบาททรงเอาอย่าง?”
“เจ้า…” เซ่าเฉิงเดือดดาล
“พอที!” รัชทายาทปราม
ในโถงเงียบสงัดไปทั่วบริเวณ รัชทายาทกวาดมองคนทั้งหมดรอบหนึ่งค่อยเอ่ยเสียงขรึม “พวกเจ้าถอยออกไปก่อน ฟู่หม่าตูเว่ยกับจื่อเซิ่งรั้งอยู่ที่นี่”
คนที่เหลือขานรับบัญชา โขกศีรษะแล้วเรียงแถวถอยออกไป มีเพียงเซ่าเฉิงที่ยังเป็นเดือดเป็นแค้น สุดท้ายจึงถูกสหายขุนนางฉุดดึงออกไปด้วยกัน
เมื่อในโถงคงเหลือเพียงสามคน รัชทายาทก็มองฮั่วปู้อี๋ด้วยหางตา “เจ้าวางตัวอยู่นอกเรื่องราว ไม่วิตกแม้แต่น้อย หรือเจ้าไม่กลัวว่าตระกูลใหญ่ที่มีกำลังพลเหล่านั้นจะทำลายบ้านเมืองและราษฎร”
ฮั่วปู้อี๋เอ่ยปนยิ้มน้อยๆ “เป็นธรรมดาที่ตระกูลใหญ่ส่วนมากจะไม่คล้อยตาม ทว่า ‘แผนการปกครองใหม่’ ของลี่ตี้ราชวงศ์ก่อนก็ยังติดตาของพวกเขาอยู่ เกิดโวยวายจนฝ่าบาททรงพระอารมณ์ร้อนขึ้นมาจริงๆ พวกเขาก็กลัวเช่นกันว่า ‘ข้อกำหนดที่ดินกษัตริย์’* ซึ่งกำหนดให้ขุนเขาลำน้ำตลอดจนที่ดินทั่วหล้าตกเป็นของราชสำนักนั้นจะหวนคืนมาอีกครา ตอนนี้ฝ่าบาทเพียงแต่รับสั่งให้รังวัดที่ดิน พวกเขาก็แค่อิดออดไปตามเรื่อง ขอเพียงฝ่าบาททรงแสดงให้เห็นว่าตั้งพระทัยเด็ดขาดแล้ว พวกเขาก็จะฟังพระบัญชาเอง”
รัชทายาทถามอีก “เหตุใดเสด็จพ่อทรงไม่อาจเอาอย่าง ‘คำสั่งอพยพสู่เม่าหลิง’ เล่า”
ฮั่วปู้อี๋คิดในใจ…เพราะเหตุใดน่ะหรือ รอจนฝ่าบาททรงโบยลงโทษท่านหนักๆ สักยก ท่านก็จะเข้าใจแล้ว หากโบยหนึ่งยกยังไม่พอ สองยกเลยก็ได้ กระนั้น…เขากลับยังคงชี้แจงออกมาช้าๆ อย่างมีน้ำอดน้ำทน
“ก่อนที่เกาฮ่องเต้ของราชวงศ์ก่อนจะรวมแผ่นดินได้เป็นปึกแผ่น ใต้หล้าเผชิญภัยสงครามร่วมหลายร้อยปี เริ่มจากยุคที่อยู่ใต้การปกครองของโอรสสวรรค์ราชวงศ์โจว เหล่าเจ้าศักดินาก็รบพุ่งกันไม่หยุดหย่อนแม้ชั่วครู่เดียว ต่อมาช่วงที่ฉินสื่อหวงกวาดล้างพันธมิตรหกแคว้น การรบพุ่งก็เกิดขึ้นอีก น่าสะท้อนใจนัก สงครามยุติได้เพียงไม่นาน เหล่าผู้กล้าก็ลุกฮือต่อต้านการปกครองอันโหดเหี้ยมของราชวงศ์ฉิน การรบพุ่งเกิดขึ้นอีกครา ไม่ง่ายเลยกว่าเซี่ยงอ๋องจะโค่นล้มราชวงศ์ฉินลงจนได้ น่าแค้นที่เขาอวยยศแก่เหล่าเจ้าศักดินาอย่างไม่เป็นธรรม ส่งผลให้ไม่นานต่อมาเกาฮ่องเต้ก่อการต่อต้านเซี่ยงอ๋อง การรบพุ่งดำเนินต่อไป สุดท้ายเซี่ยงอ๋องเชือดคอตายริมแม่น้ำอูเจียง กลุ่มผู้กล้าที่เข้าร่วมช่วงชิงแผ่นดินในคราแรกเหลือจำนวนไม่ถึงหนึ่งฝ่ามือนับ ครั้นราชวงศ์ใหม่สถาปนาขึ้น เกาฮ่องเต้ก็บุกตีแทบจะทั่วแผ่นดินอีกรอบเพื่อไล่กำจัดบรรดาอ๋องต่างแซ่ สมัยที่หลี่ว์ฮองเฮากับเหวินฮ่องเต้ครองอำนาจค่อยมีหยุดพักฟื้นบำรุงกำลัง กระทั่งสมัยของจิ่งฮ่องเต้จึงจัดการบรรดาอ๋องร่วมแซ่ไปอีกยกหนึ่ง นับจนถึงตอนนั้นใต้หล้าผ่านการรบรามาหลายต่อหลายปี อย่าว่าแต่ชาวบ้านสามัญระทมทุกข์ แม้แต่ตระกูลใหญ่ผู้มีอำนาจก็เหลือลมหายใจไม่กี่เฮือกแล้ว…”
“เจ้าพูดเรื่องเหล่านี้ทำอันใด” รัชทายาทมุ่นคิ้ว