ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย
ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย เล่ม 7 บทที่ 159
ฮั่วปู้อี๋ตอบ “ความหมายของข้าคือ…เรื่องนี้ก็ต้องตำหนิฝ่าบาทด้วยที่ไม่ดี”
“จื่อเซิ่งอย่าได้พูดส่งเดช” ราชบุตรเขยรองเตือนอย่างเคร่งเครียด
ฮั่วปู้อี๋ทอยิ้มอ่อนโยน “ฝ่าบาททรงพระปรีชาเกินไป ผนวกใต้หล้าได้เร็วเกินควร การสร้างใหม่บนซากปรักหักพัง…ความจริงแล้วง่ายดายยิ่งกว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพการณ์ที่คงอยู่เดิม เหตุที่อู่ฮ่องเต้สามารถประกาศใช้ ‘คำสั่งอพยพสู่เม่าหลิง’ ข้อแรกเพราะเขามีอุปนิสัยเคร่งครัดไร้ไมตรี ข้อสองเพราะตระกูลใหญ่ในขณะนั้นแข็งแกร่งน้อยกว่าทุกวันนี้ลิบลับ พูดให้ชัดคือ…จริงอยู่ภายหลังลี่ตี้ชิงบัลลังก์ ใต้หล้าโกลาหลหนัก ทว่าโกลาหลไม่นาน ท่ามกลางภัยสงครามตระกูลใหญ่เหล่านี้ก็แค่บาดเจ็บถึงกระดูกเส้นเอ็น ยังไม่ย่อยยับถึงรากฐาน…เพียงแต่นี่เป็นถ้อยคำที่บาดใจ มีหรือจะไปพูดข้างนอกได้”
รัชทายาทเงียบงันไม่พูดจา ราชบุตรเขยรองค่อยโล่งอกขึ้นเล็กน้อย
“ราชวงศ์ของพวกเราสืบแผ่นดินต่อจากราชวงศ์ก่อน ย่อมผนวกรวมแผ่นดินเดิมได้เร็วขึ้นมาก ทว่าก็สืบทอดข้อเสียหลายอย่างของราชวงศ์ก่อนมาด้วย ตระกูลใหญ่อย่างสกุลโหลว สกุลเหลียง สกุลหยวน สกุลเกิ่ง อ้อ ยังมีสกุลโต้วของราชบุตรเขยรอง ล้วนไม่ใช่ตระกูลที่ฝ่าบาททรงปลุกปั้นขึ้นมา ตรงกันข้าม ตอนที่ทรงสถาปนาแคว้นยังได้รับความช่วยเหลือมากมายจากตระกูลใหญ่เหล่านี้ อย่างสกุลหยวนกับสกุลเหลียงต่างนำพื้นที่หลายเมืองมาเข้าร่วมกับฝ่าบาท อย่างท่านลุงของราชบุตรเขยรอง ในตอนนั้นก็ปกครองสี่เมืองแถบเหอซี ราษฎรอยู่รอดปลอดภัย กำลังทหารกล้าแข็ง มิใช่ผู้ที่สิ้นไร้ไม้ตอก สิ้นหนทางให้เดินเสียหน่อย กระนั้นเขาก็ยังคงมาเข้าร่วมกับฝ่าบาทด้วยความจริงใจ รัชทายาท ท่านจะให้ฝ่าบาททรงทำเช่นไรเล่า
ยามที่ผู้อื่นมาเข้าร่วม หรือว่าฝ่าบาทไม่ได้ทรงรับไว้? หลายปีที่ผ่านมาใต้เท้าทั้งหลายทำงานรอบคอบแข็งขัน ทั้งปกครองเมืองทั้งออกรบเพื่อฝ่าบาท ปราศจากความผิดใดๆ ท่านจะให้ฝ่าบาททรงเงื้อดาบสังหารในทันทีเลยหรือ เอะอะก็บีบคั้นขุนนางที่มีคุณความชอบให้ถึงที่ตาย ประหารวงศ์ตระกูลของพวกเขาสามชั่วโคตร เรื่องพรรค์นี้ไม่ใช่ฮ่องเต้พระองค์ใดก็ทำได้หรอกนะ อย่างน้อยฝ่าบาทของพวกเราก็ทรงทำไม่ได้”
รัชทายาทพลันนึกถึงโจวย่าฟู* ก็อดไม่ได้ที่จะลอบถอนใจ
ราชบุตรเขยรองขอบตาเปียกชื้น โค้งคำนับให้ฮั่วปู้อี๋จากใจจริง “ถ้อยคำนี้ของจื่อเซิ่ง ข้าขอขอบคุณตรงนี้ก่อน!” ครั้นเงยหน้าขึ้น เขาค่อยกล่าวต่อ “คำว่าขุนนางที่มีคุณความชอบ เอ่ยแล้วชวนฟัง แต่กลับปฏิบัติตัวได้ยาก และไม่แปลกที่ในพระทัยฝ่าบาทกับรัชทายาทจะหวั่นวิตก เรื่องรังวัดที่ดินจำเป็นต้องดำเนินการเพื่อเสถียรภาพของบ้านเมือง เพียงแต่พวกข้าตระกูลผู้มีคุณความชอบเหล่านี้มีบุตรหลานมาก บางคราจึงไม่แคล้วเกิดเหตุไม่คาดฝัน…ซึ่งไปขวางงานใหญ่ของราชสำนักเข้า…”
“พอแล้ว” รัชทายาทขึงตาใส่พี่เขยรอง “ท่านคือท่าน ทางบ้านคือทางบ้าน หากไม่ใช่เพื่อหลีกทางให้ญาติผู้พี่คนนั้นของท่าน ท่านคงไม่ต้องเก็บตัวมาจนบัดนี้ ขับกลอนแต่งลำนำกับพี่หญิงรอง อยู่ว่างไปวันๆ หรอก”
ราชบุตรเขยรองยิ้มกล่าว “ความจริงขับกลอนแต่งลำนำ ผ่านวันเวลาอย่างสบายใจ ก็เป็นอิสระอย่างหนึ่ง”
“ท่านน่ะพอทีเถิด!” รัชทายาทเอ่ยอย่างหัวเสีย หันกลับมามองฮั่วปู้อี๋อย่างสงสัยอยู่บ้าง “ไฉนข้ารู้สึกว่า…วันนี้เจ้าดูอารมณ์ดี…ดีอย่างยิ่ง?”
“อ้อ อย่างนั้นหรือ” คิ้วยาวของฮั่วปู้อี๋เชิดขึ้นอย่างองอาจ นัยน์ตาชวนมองดุจห้วงน้ำ แม้มิได้กล่าวอันใดมาก ทว่ากลับทำให้ผู้อื่นสัมผัสได้ชัดเจนถึงความเบิกบานผ่อนคลายบนร่างของเขา
ราชบุตรเขยรองหัวเราะเบาๆ หนึ่งเสียง ครั้นรัชทายาทถามเขาว่าหัวเราะด้วยเหตุใด เขาก็ตอบว่า “รัชทายาทคงยังไม่รู้ หลายวันก่อนจื่อเซิ่งไหว้วานข้าสืบข่าวว่าเจ้าเมืองสวีวั่นซงไป่รังวัดที่ดินเรียบร้อยดีหรือไม่”
ชั่วขณะรัชทายาทนึกสาเหตุของการสืบข่าวนี้ไม่ออก ราชบุตรเขยรองจึงเอ่ยเตือนความจำ “เจ้าเมืองวั่นเป็นพี่น้องร่วมสาบานของแม่ทัพเฉิง”
รัชทายาทชะงักไปเล็กน้อย ก่อนร้องอ้อหนึ่งคำด้วยน้ำเสียงคลุมเครือ
ฮั่วปู้อี๋เอ่ยอย่างนุ่มนวล “ขอเรียนถามราชบุตรเขย ทางเจ้าเมืองวั่นสถานการณ์เป็นเช่นไร”
ราชบุตรเขยรองตอบปนยิ้ม “เจ้าวางใจได้ ข้าสืบข่าวมาถี่ถ้วนแล้ว เจ้าเมืองวั่นไม่ถูกกับเครือญาติ เครือญาติสกุลวั่นจึงไม่อาจอาศัยอำนาจของเจ้าเมืองวั่นไปข่มเหงใคร การรังวัดที่ดินของสกุลวั่นแห่งอำเภอสุยราบรื่นอย่างยิ่ง ส่วนทางเมืองสวี เจ้าเมืองวั่นมีทั้งกำลังคนกำลังทรัพย์ ทั้งไม่กลัวผู้มีอำนาจในท้องถิ่นคุกคาม ทั้งไม่ละโมบในสินบนของผู้อื่น การรังวัดที่ดินในเมืองสวีจึงราบรื่นมากเช่นกัน”
ฮั่วปู้อี๋วางใจลง จากนั้นพลิกสีหน้าในทันที “ราชบุตรเขยน่าโมโหโดยแท้ ในอดีตท่านสอบถามกิจวัตรความเคยชินขององค์หญิงรองจากข้า ตลอดมาข้าไม่เคยเอาไปบอกผู้ใด ไม่นึกเลยว่าเพียงเบือนหน้า ท่านกลับแพร่งพรายเรื่องที่ข้าไหว้วานเสียอย่างนั้น เอาเถิด ข้าคงต้องแจ้งฝ่าบาทกับรัชทายาทบ้างแล้ว รัชทายาท ท่านรู้หรือไม่ ตอนนั้นขณะที่ฝ่าบาทยังไม่ทันพระราชทานสมรสให้ ราชบุตรเขยก็อยู่ในอุทยานกับองค์หญิง…”
“หยุดๆ!” ราชบุตรเขยรองร้อนใจจนหน้าแดงคอแดง “ได้ๆๆ ล้วนเป็นความผิดของข้า! เจ้าอย่าพูดต่อเชียวนะ เห็นแก่ที่แต่เล็กมาองค์หญิงดีกับเจ้าไม่น้อย และเห็นแก่ที่คราวก่อน…โอ๊ะ…”
เขาพลันฉุกคิดได้เรื่องหนึ่ง “จริงด้วย ข้ายังไม่ได้คิดบัญชีกับเจ้าเลย! รัชทายาท ข้าจะบอกท่านให้ เมื่อสามปีก่อนข้าอุตส่าห์ดั้นด้นบุกป่าฝ่าดงไปเยี่ยมเจ้าคนผู้นี้ที่เมืองชายแดน ใครจะรู้ เขาถึงกับทำเป็นไม่รู้จักข้า! สร้างความลำบากให้ข้าหาเขาอยู่ในค่ายหนึ่งวันเต็มๆ ยังหลงนึกว่าตนเองมาหาผิดที่ด้วยซ้ำ!”
ฮั่วปู้อี๋เอ่ยกลั้วหัวเราะ “ก็ผู้ใดใช้ให้ท่านแต่งตัวทองอร่ามเยี่ยงนั้นเล่า เมืองชายแดนกันดารหนาวเหน็บ เหล่านายทัพพลทหารขัดตาที่สุดก็คือบุตรหลานตระกูลขุนนางที่แต่งชุดงามหรู!”
ในที่สุดรัชทายาทก็กลั้นไม่ไหว เปล่งเสียงหัวเราะพรืด ต่อเมื่อหัวเราะจบจึงปรับสีหน้าเคร่งขรึม “ตามความเห็นของจื่อเซิ่ง เสด็จพ่อจะทรงลงโทษผู้มีอำนาจในท้องถิ่นที่ขัดขืนคำสั่งรังวัดที่ดินเช่นไร”