ฮั่วปู้อี๋ขบคิดก่อนตอบ “ฝ่าบาทจะทรงลงโทษบรรดาเจ้าเมืองที่ปกปิดจำนวนที่ดินกับแรงงานก่อน คาดว่าต้องสังหารหลายคนทีเดียว…ว่ากันถึงที่สุดแล้ว พวกเขาต่างหากคือขุนนางสำคัญที่ราชสำนักแต่งตั้ง ในเมื่อมองเมินกฎหมาย พวกเขาก็ควรรับโทษก่อนใคร จากนั้นเมื่อราชสำนักเร่งรังวัดที่ดินต่อ ค่อยดูท่าทีของผู้มีอำนาจในท้องถิ่นอีกที หากนับแต่นี้ยอมถอย ปฏิบัติตามคำสั่งโดยดีก็แล้วไป แต่หากยังดันทุรังไม่เปลี่ยน หรือถึงขั้นใช้กำลังพลก่อความไม่สงบ…” เขาไม่ได้พูดต่อ เพียงใช้ประกายเยียบเย็นที่ก้นบึ้งดวงตา ประกาศชัดถึงการตัดสินใจอันแน่วแน่
รัชทายาทผงกศีรษะ เขาเองก็คิดเช่นนี้ นี่สอดรับกับความเคยชินของบิดาบังเกิดเกล้าที่ชอบมอบทางรอดหนึ่งสายให้ผู้อื่นได้เลือกเดินใหม่อีกครั้ง เขาถามขึ้นอีก “พี่เขยเล่าคิดเห็นเช่นไร”
ราชบุตรเขยรองยังคงถือผ้าแพรซับเหงื่อที่แตกพลั่กเพราะถูกฮั่วปู้อี๋เขย่าขวัญเมื่อครู่ ครั้นได้ยินคำถามจึงตอบปนเหน็บแนม “เจ้านี่น่ะ เว้นแต่เรื่องแต่งงานของตนเอง อย่างอื่นไม่ว่าเรื่องใหญ่หรือเล็กมักเดาคลาดเคลื่อนไปไม่ไกลหรอก”
เรื่องเป็นงานเป็นการสนทนากันพอสมควรแล้ว ฮั่วปู้อี๋ก็ลุกขึ้นกล่าวอำลา เดิมทีรัชทายาทยังอยากถามสองประโยคว่าเรื่องแต่งงานคืบหน้าไปถึงที่ใด ทว่าถูกราชบุตรเขยรองใช้สายตายับยั้งไว้ก่อน จึงทำเพียงมองส่งฮั่วปู้อี๋จากไป
ขณะมองส่งเงาหลังอันสูงเพรียวปราดเปรียวของฮั่วปู้อี๋ ราชบุตรเขยรองอดสะท้อนใจไม่ได้ “หากมิใช่หลิงอี้โจรสุนัขนั่นก่อกรรมทำชั่ว ทำให้คนในครอบครัวของจื่อเซิ่งตายอนาถ จื่อเซิ่งก็คงจะเป็นชายหนุ่มที่แต่งกายเฉิดฉายร่าเริงเปิดเผยที่สุดในเมืองหลวงแห่งนี้ เฮ้อ โชคชะตากลั่นแกล้งคนแท้ๆ”
รัชทายาทถอนใจเช่นกัน
ครั้นกลับถึงจวน ได้ยินว่าลั่วจี้ทงยังไม่จากไป ฮั่วปู้อี๋ก็กลับห้องไปเปลี่ยนสวมชุดลำลองก่อนค่อยออกมา
ลั่วจี้ทงนั่งอยู่ที่โถงปีกในอาการกระสับกระส่าย รอจนเห็นฮั่วปู้อี๋เข้ามา นางก็ลุกขึ้นอย่างเคร่งเครียด
ฮั่วปู้อี๋เดินตรงเข้ามาโดยไม่เหลือบแลนาง “เดิมข้านึกว่าเจ้ารู้ทั้งหมดแล้ว ไม่นึกว่าวันนี้ตอนประชุมขุนนาง ค่อยได้ยินว่าบิดาเจ้ายังอยู่ที่นอกเมือง ข้าจึงคิดว่า…เจ้าคงยังไม่รู้ว่าข้าพูดอันใดกับบิดาเจ้าไปบ้าง”
ลั่วจี้ทงพลันโพล่งตะโกน “ข้าเห็นรอยกัดบนแขนของเฉิงเซ่าซางแล้ว!”
ฮั่วปู้อี๋หมุนตัวมามองนางชั่วครู่ จากนั้นเลิกแขนเสื้อของตนเองขึ้นช้าๆ บนต้นแขนขวามีรอยฟันซึ่งกลายเป็นแผลเป็น ออกสีชมพูคล้ำหนึ่งวง
“เป็นเช่นนี้จริงๆ เป็นเช่นนี้จริงๆ เสียด้วย” ลั่วจี้ทงทรุดนั่งลง เอ่ยพึมพำ “ข้าก็ว่าไฉนท่านลูบแขนขวาเป็นประจำ” จบคำนี้นางพลันเงยหน้าขวับ “หลายปีมานี้ท่านไม่เคยลืมเลือนนาง?!”
ฮั่วปู้อี๋เงียบเป็นการยอมรับโดยนัย
“ท่าน…เหตุใดท่านทำกับข้าเยี่ยงนี้” ลั่วจี้ทงน้ำตารื้นเกาะขนตา “แต่เล็กท่านไม่ยอมให้ผู้อื่นเข้าใกล้แม้น้อยนิด แต่กลับยอมให้ข้าก้าวก่ายงานในที่พักของท่าน ข้านึกว่าท่านยินดียอมรับข้าแล้ว ที่แท้กลับกลายเป็นเพียงความฝันครั้งใหญ่! ท่าน…ท่านหลอกลวงข้าสาหัสนัก!”
ฮั่วปู้อี๋เอ่ยแก้ “หลอกลวงยังนับไม่ได้ ควรเรียกว่า ‘ชี้นำให้เข้าใจผิด’ ”
ลั่วจี้ทงหลั่งน้ำตากล่าว “ท่านทำกับข้าเช่นนี้ได้อย่างไรกัน! ข้าปฏิบัติกับท่านด้วยหัวใจจริง ท่านไม่ยินดีจะรับไว้ก็ช่างเถิด ไยต้องหลอกลวงข้าจนวัยสาวล่วงเลยเปล่าไปหลายปี!” นางทอดมองไปด้วยดวงตาที่มีหยาดน้ำปริ่มล้น “หลายปีเพียงนี้…ท่านไม่มีเยื่อใยต่อข้าแม้ส่วนเสี้ยวเชียวหรือ”
ฮั่วปู้อี๋คิดเล็กน้อย ก่อนตอบเรียบๆ “ไม่มี”
ลั่วจี้ทงใบหน้าเผือดขาว