ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย
ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย เล่ม 7 บทที่ 159
“ข้าไม่เคยปล่อยเกาทัณฑ์โดยไร้เป้า” ฮั่วปู้อี๋จับจ้องนางดุจเล็งใส่ใจกลางเป้าธนู สายตาเย็นเยียบไร้ไมตรี “ทุกคนพูดกันว่าภรรยาของจย่าชีหลางเป็นสตรีที่มีคุณธรรมล้ำเลิศเป็นที่หนึ่งในใต้หล้า แต่ข้ากลับรู้ตื้นลึกหนาบางของเจ้าดี ในอดีตตำหนักฉางชิวมีหมอหลวงชราร่างกายอ่อนแอผู้หนึ่ง เจ้าเคยตามติดอยู่ข้างกายเขาหลายเดือน ข้าจำได้ว่าหมอหลวงผู้นั้นสันทัดด้านปรุงอาหารสมุนไพร บางสิ่งที่ออกฤทธิ์ขัดกัน ทั้งจำแนกได้ยากและไม่มีผู้ใดล่วงรู้ แต่เขาล้วนรู้กระจ่างแจ้ง
ภายหลังจย่าชีหลางลาโลก หมอหลวงที่ชุยโหวพาไปเมืองชายแดนด้วยผู้นั้นเคยทักอย่างแปลกใจ ภาวะร่างกายอ่อนแอของจย่าชีหลางนั้นเป็นมาตั้งแต่ในครรภ์ เขาเคยเห็นมาหลายกรณี และเคยไปรักษาที่จวนสกุลจย่า รู้สึกว่ายังไม่ถึงขั้นประคองตัวไม่พ้นอายุยี่สิบ
บิดามารดาของจย่าชีหลางดูแลบุตรชายคนเดียวผู้นี้รัดกุมยิ่ง อาหารการกินในตอนนั้นน่าจะยังมีจดบันทึกอยู่ แม่นางลั่ว หากข้าให้พวกเขานำอาหารที่เจ้าเคยให้จย่าชีหลางกินไปทดสอบดู เจ้าเดาซิว่าผลจะเป็นเช่นไร อืม คนทั่วไปอาจแค่ไม่สบาย ทว่าใช้กับจย่าชีหลางผู้อ่อนแอขี้โรค กลับเพียงพอจะทำให้ถึงที่ตายแล้ว”
ลั่วจี้ทงร่างโงนเงนแทบจะทรุดฮวบ เอ่ยวิงวอนอย่างโศกสลด “ข้าไม่ได้เจตนา ข้าทำไปก็เพื่อท่านนะคุณชายสิบเอ็ด! ข้าชมชอบท่านมาแต่เล็ก เห็นท่านมาถึงมณฑลเหลียงโจวในสภาพทั้งป่วยไข้ทั้งบาดเจ็บ ข้าจึงอยากไปดูแลท่าน! ข้าปล่อยวางท่านไม่ลง!”
ฮั่วปู้อี๋มองนางอย่างเย็นชา “เซ่าซางแม้ปากร้าย ทว่านางไม่เคยทำร้ายผู้บริสุทธิ์ ส่วนเจ้าปากพูดจาเสียน่าฟัง ยามทำร้ายผู้อื่นกลับไม่เคยกริ่งเกรง จย่าชีหลางมีความผิดอันใด บิดามารดาสกุลจย่าสูญเสียบุตรชายในวัยชราเป็นความอยุติธรรมถึงเพียงใด!”
“เดิมเขาก็ต้องตายอยู่แล้ว!” ลั่วจี้ทงตะโกนแย้ง
“คนเราล้วนต้องตาย ต่างกันแค่อายุยาวสั้น” ฮั่วปู้อี๋สวนกลับเสียงเฉียบขาด “หมอหลวงพูดว่าเขาเคยเห็นผู้ที่มีภาวะร่างกายอ่อนแอแบบเดียวกับจย่าชีหลาง เนื่องจากดูแลได้เหมาะสม เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่มิเพียงสามารถแต่งภรรยาให้กำเนิดบุตร ยังมีชีวิตได้ถึงอายุสี่สิบกว่าปี อืม เพียงแต่เจ้าคงจะรอไม่ไหวแน่ๆ”
ลั่วจี้ทงลุกขึ้นยืนตรง ปาดน้ำตาแรงๆ ก่อนเยาะหยันตนเอง “ดีๆๆ ในเมื่อท่านเห็นข้าเป็นเช่นงูเงี้ยวแมงป่อง เหตุใดจึงไม่เปิดโปงการกระทำของข้าเล่า!”
“เพราะเจ้าเคยช่วยชีวิตอาเฟยไว้หนึ่งหน”
ลั่วจี้ทงตะลึงงัน
ฮั่วปู้อี๋กล่าว “บิดากับท่านลุงท่านอาของสองพี่น้องสกุลเหลียงชิวล้วนติดตามท่านพ่อข้าออกรบจนตัวตาย ข้าย่อมต้องปลอบขวัญดูแลหญิงม่ายกับบุตรกำพร้าของพวกเขา ปีนั้นหากไม่ใช่เจ้าปล่อยสุนัขที่สูดกลิ่นได้เป็นเยี่ยมออกค้นหา อาเฟยก็แข็งตายกลางเทือกเขาหิมะไปแล้ว…ดังนั้นข้าจึงไม่ได้บอกสกุลจย่า”
ลั่วจี้ทงดวงตาลุกวาว ใครจะรู้ประโยคถัดมากลับทำลายความหวังของนางลงทันที
“ทว่าเมื่อวานข้าได้บอกบิดาเจ้าไปแล้ว รอจนเขาเข้าเมืองกลับถึงจวนก็จะลงโทษเจ้า” ฮั่วปู้อี๋กล่าว “ข้ายังบอกบิดาเจ้าว่า…ให้แต่งเจ้าไปไกลๆ ห้ามกลับมาอีกจนชั่วชีวิต หรือไม่ก็กักบริเวณเจ้าเสีย สรุปคือเจ้าช่วยชีวิตอาเฟยหนึ่งหน ข้าไว้ชีวิตเจ้าหนึ่งครา นับว่าหายกันแล้ว”
หัวใจลั่วจี้ทงหนาวยะเยือก เอ่ยในอาการตะลึงค้าง “ขะ…ข้าไม่เข้าใจ ในเมื่อท่านรู้ทุกสิ่งอย่าง เหตุใดยังยอมให้ข้าเข้าใกล้ท่าน ซ้ำทำให้ข้า ทำให้คนทั้งหมดล้วนเข้าใจผิดว่าท่านยินดีจะแต่งกับข้า ในเมื่อท่านไม่ได้ยินดีจะแต่งกับข้าเลย แล้วไยต้อง…”
นางจรดมองสองตาที่ดำมืดของฮั่วปู้อี๋ หัวใจก็ให้สั่นกระตุก “อ๊ะ ข้าเข้าใจแล้ว ข้ารู้แล้ว ท่านใช้ข้าเป็นตัวหลอก ท่านจงใจ!”
ฮั่วปู้อี๋ยืนอยู่ริมหน้าต่าง หันหลังให้แสง “ตั้งแต่ห้าปีก่อนข้าก็ตัดสินใจแล้วว่าจะปล่อยมือจากเซ่าซาง ข้ามุ่งหวังว่านางจะไม่ได้รับความอยุติธรรมอีก ได้ออกเรือนไปอย่างดี มั่นคงปลอดภัยไปทั้งชีวิต ข้าไม่อยากเป็นอุปสรรคของนาง และไม่อาจปล่อยให้ฝ่าบาทกับรัชทายาทขัดขวางนางเช่นกัน เมื่อมีเจ้าอยู่ ทุกคนจึงจะวางใจเรื่องข้าเสียที”
ลั่วจี้ทงยังคงกังขา “แต่ว่า…ท่านประวิงเวลาได้ชั่วครู่ชั่วยาม ไม่อาจประวิงเวลาได้ชั่วชีวิต! รอจนเฉิงเซ่าซางออกเรือนไป ท่านก็ต้องแต่งภรรยาวันยังค่ำ ต่อให้ไม่ใช่ข้าก็ต้องเป็นผู้อื่น ท่านไยต้อง…” เสียงพูดของนางพลันขาดตอน
ฮั่วปู้อี๋คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม นางเข้าใจได้ในพริบตา เอ่ยอย่างไม่กล้าเชื่อ “ทะ…ท่านไม่คิดจะแต่งกับสตรีนางใดทั้งสิ้น! ไม่ๆ นี่เป็นไปไม่ได้ ท่านยังต้องสืบเชื้อสายของบรรพชนอีก สกุลฮั่วถูกล้างตระกูล ท่านจะเห็นแก่ตัวทำให้สายเลือดนี้ขาดสะบั้นลงได้อย่างไร!”
“เหตุใดจึงไม่ได้เล่า” ภายใต้แสงตะวันที่ลอดผ่านลายฉลุบนหน้าต่าง ใบหน้าหันข้างของฮั่วปู้อี๋สมบูรณ์ปานหยกเย็น “เมื่อร้อยพันปีก่อน บนโลกไม่มีสกุลฮั่วอันใดเสียหน่อย”
ลั่วจี้ทงโกรธเกรี้ยวสุดบรรยาย ช่องอกแทบจะแตกระเบิด เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันกล่าว “พวกเราล้วนถูกท่านหลอกเสียแล้ว! ฮ่าๆๆ ทว่าฝ่าบาทจะไม่ทรงปล่อยให้ท่านทำเหลวไหลแน่ รัชทายาทก็ต้องกริ้วแทบเป็นแทบตายเช่นกัน ท่าน…ท่าน…”
ฮั่วปู้อี๋ทอดสายตามองไกลออกไปนอกหน้าต่าง แววตาเรียบเย็นลุ่มลึก “ขอเพียงข้าไม่อยากแต่งงาน ก็ย่อมจะมีวิธี หากข้าแต่งภรรยา จะต้องเป็นเพราะข้าพึงใจในสตรีนางนั้น ไม่ใช่เพราะสาเหตุอื่นใด” เช่นเดียวกับคู่บิดามารดาของเขาที่มีความรัก ความเอื้ออาทร และความผูกพันอันลึกซึ้งต่อกัน
ไม่ว่าจะผจญผ่านไฟเลือดกับทุกข์ภัยมาสักเท่าใด จนแล้วจนรอดในหัวใจของเขายังคงมีหนุ่มน้อยผู้ดื้อรั้นหยิ่งทะนงอาศัยอยู่ เขาปรารถนาจะได้รับความรักแบบเดียวกับคู่ของบิดามารดา ปรารถนาจะให้บุตรธิดาในอนาคตของเขาได้เป็นเช่นเขาหกพี่น้อง ถือกำเนิดมาบนโลกใบนี้เพราะความรักอันจริงใจและดีงาม ไม่ใช่เพราะผลประโยชน์ที่พัวพันกันหรือเพื่อจะสืบสกุล
ดังนั้นเขาจึงไม่เคยตำหนิอาหญิงฮั่วจวินหวาเลย แม้นางดวงตามืดบอดมองคนผิดไป ทว่าความตั้งใจของนางที่หมายจะแต่งกับบุรุษที่รักชอบนั้นไม่ได้ผิด
ฮั่วปู้อี๋รู้สึกว่าสิ่งที่ควรพูดล้วนพูดจบแล้ว จึงเอ่ยปิดท้าย “เจ้าช่วยชีวิตอาเฟยหนึ่งหน ข้าก็ไว้ชีวิตเจ้าหนึ่งครา เจ้าเคยให้ร้ายเซ่าซาง ข้าก็ใช้เจ้าเป็นตัวหลอกมาหลายปี บัดนี้บุญคุณความแค้นสะสางจนสิ้น แม่นางลั่ว ลากันตรงนี้ ไปดีๆ นะ ไม่ส่ง” จบคำเขาก็สะบัดแขนเสื้อจากไป ภายใต้แสงตะวันสีทองที่คล้อยสู่ทิศประจิม เรือนกายอันสูงเพรียวนั้นยิ่งหล่อเหลาเหนือสามัญ
ลั่วจี้ทงพิศมองอย่างงมงาย ในใจทั้งเจ็บทั้งเป็นแผล
นางรู้ว่าตนเองไม่ได้มองคนผิด คนในดวงใจของนางต่างจากบุรุษทั้งมวลในใต้หล้านี้ ภายใต้ท่าทีอันเงียบขรึมเยือกเย็น เขามีความรักอันร้อนแรงและบริสุทธิ์ที่สุดในใต้หล้า น่าเสียดาย…ความรักนี้กลับมิได้เป็นของนาง
“มีเรื่องหนึ่งข้าต้องบอกท่าน!” นางพลันตะโกนก้องใส่เงาหลังของฮั่วปู้อี๋พร้อมกับความประสงค์ร้ายล้นอก “รอยฟันบนแขนขวาของเฉิงเซ่าซางรอยนั้นใกล้จางหายเต็มทีแล้ว เกรงว่าในใจของนาง…ท่านก็คงถูกลืมหมดจดแล้วเช่นกัน”
ฝีเท้าของฮั่วปู้อี๋ชะงักกึก เขาไม่ได้หมุนตัวมา เพียงเอ่ยสองประโยคเรียบๆ “เห็นทีเมื่อแรกข้าจะกัดเบาไป เพียงแต่…นี่ไม่ต้องรบกวนแม่นางลั่วเป็นกังวลหรอก”
ลั่วจี้ทงทรุดฮวบ นั่งกองกับพื้นอย่างหมดอาลัยตายอยาก
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 15 ก.ค. 66 เวลา 12.00 น.