องค์หญิงห้าเชิดคอแข็ง ยืนปักหลักไม่ยอมถอยแม้แต่น้อย…เฉิงเซ่าซางเห็นเช่นนี้ก็ย่องเข้าโถงจัดเลี้ยงมาแบบตัวแนบติดผนัง หาตำแหน่งโต๊ะแล้วนั่งลงเงียบๆ
องค์หญิงสามปลอบโยนเสียงนุ่มให้องค์หญิงรองนั่งลง “โถๆ พี่หญิงรองคนดีของน้อง ท่านจะโมโหอะไรกับนางเล่า เสียสุขภาพตนเองเปล่าๆ ปกติองค์ชายองค์หญิงกระทำผิด ไม่ใช่ถูกลดบรรดาศักดิ์ก็คือถูกริบเมืองศักดินา อย่างมากถูกโบยหรือถูกอบรมอีกหนึ่งยกแล้วห้ามเข้าวังมาอีก ทว่าน้องหญิงห้าเป็นสตรี เสด็จพ่อจะทรงโบยนางหรือลดบรรดาศักดิ์นางได้อย่างไรกัน…นางไม่มีบรรดาศักดิ์อ๋องให้ลดเสียหน่อย”
องค์หญิงรองนั่งลงในอาการกระฟัดกระเฟียด
องค์หญิงสามกล่าวต่อ “เมื่อก่อนเสด็จพ่อรับสั่งห้ามข้าเข้าวังเป็นแรมเดือนแรมปีได้ ริบเมืองศักดินาของข้าจนหมดเกลี้ยงได้ ทว่าเห็นแก่ไหวอันอ๋องไทเฮา ไม่ว่าอย่างไรเสด็จพ่อก็ทรงทำเช่นนี้กับน้องหญิงห้าไม่ได้หรอก! โดยเฉพาะตอนนี้พี่หญิงใหญ่เพิ่งถูกลงโทษไป ยิ่งไม่อาจลงโทษน้องหญิงห้าแล้ว! ดังนั้นตอนนี้พี่หญิงรองเข้าใจแล้วสินะ ผู้อื่นเขามีที่พึ่งจึงได้ไร้ความกลัวเกรง ป้าสะใภ้ใหญ่ ที่ข้าพูดมาถูกต้องหรือไม่เล่า”
ฮูหยินของเยวี่ยโหวใหญ่เอ่ยสนับสนุนเสียงเย็นเฉียบดุจน้ำแข็ง “ที่องค์หญิงสามพูดมาไม่ผิดสักนิดเดียว พักนี้เยวี่ยโหวเล็กกับภรรยาถูกยั่วโมโหจนล้มป่วยอีกหนแล้ว อยู่ดีๆ คนของกรมอาญาก็มาถึงบ้านขอให้ส่งมอบผู้ต้องคดี เป็นความอัปยศของวงศ์ตระกูลโดยแท้!”
“นี่มันเรื่องอันใดกัน” ชายาของหรู่หยางอ๋องซื่อจื่อที่อยู่ด้านข้างยิ้มถาม
ฮูหยินของเยวี่ยโหวใหญ่ทะนงในฐานะ หุบปากไม่ตอบคำ องค์หญิงสามจึงยิ้มละไมรับช่วงแทน “เป็นเพราะบ่าวเลี้ยงม้าที่น้องหญิงห้าชุบเลี้ยงไว้ไปก่อคดีฆ่าคนที่ข้างนอก จึงถูกฟ้องร้องน่ะสิ!”
“ต่อมาเป็นเช่นไรเล่า” ชายาของหรู่หยางอ๋องซื่อจื่อซักไซ้
“เสนาบดีกรมอาญาจี้จุนเป็นคนแบบใด เมื่อก่อนบ่าวของเสด็จป้าใหญ่ฆ่าคนตาย ถูกต่งเซวียน* เอาผิดตามกฎหมาย เสด็จพ่อก็ไม่ได้ทรงตำหนิสักประโยค ใต้เท้าจี้ย่อมจะไม่น้อยหน้าเขา เช่นนี้เองพักก่อนบ่าวเลี้ยงม้าผู้นั้นจึงถูกตัดศีรษะประจานเป็นที่เรียบร้อย…พวกท่านไม่ได้เห็น เป็นบุรุษรูปงามล้ำเลิศผู้หนึ่งเชียวล่ะ ตอนที่เปลื้องเสื้อเพื่อทำการประหาร จุๆ เรือนกายนั้นน่ะ…งามกำยำแน่นกระชับยิ่ง…”
ผู้คนซึ่งนั่งอยู่ที่นี่ส่วนใหญ่เป็นสตรีที่ออกเรือนแล้ว ทุกคนแจ้งใจดี จึงพากันมองไปทางองค์หญิงห้าพลางเปล่งเสียงหัวเราะเบาๆ ซึ่งแฝงนัยลุ่มลึก มีเพียงฮูหยินของเยวี่ยโหวรองที่วันนี้พาบุตรสาวคนเล็กมาด้วย ทางหนึ่งจึงอุดหูบุตรสาวไว้ อีกทางหนึ่งต่อว่าหลานสาวอย่างยิ้มแย้ม “องค์หญิงสาม ท่านพูดจาไม่พิถีพิถันเอาเสียเลย ตรงนี้ยังมีแม่นางน้อยอยู่ด้วยนะ!”
เฉิงเซ่าซางถูๆ ใบหู เดี๋ยวนี้องค์หญิงสามพอพูดจาไม่ลงรอยก็พูดหยาบโลนเสียอย่างนั้น เฉิงเซ่าซางเองก็รับไม่ค่อยจะไหวเช่นกัน
“ได้ๆๆ เช่นนั้นข้าจะพูดให้พิถีพิถันหน่อย น้องหญิงห้า พี่หญิงสามจะเตือนเจ้าสักประโยค เจ้าอย่าได้เสียใจกับบ่าวเลี้ยงม้าผู้นั้นไปนัก ข้าได้ยินว่าเขาอยู่ข้างนอกกดขี่บุรุษข่มเหงสตรี ฆ่าคนฮุบทรัพย์สิน ซ้ำยังรับอนุไว้สองนาง เห็นชัดว่าไม่ได้วางเจ้าไว้ในหัวใจเลย” องค์หญิงสามฉีกหมูแผ่นที่มีสีแดงเข้มและอวลกลิ่นหอมปะทะจมูกมาใส่เข้าปากอย่างไม่รีบไม่ร้อน
“พวกเจ้า…” องค์หญิงห้าโกรธจนใบหน้าเขียวคล้ำ “พวกเจ้ามันกลุ่มคนถ่อยที่เก่งแต่แอบอิงผู้มีอำนาจ เห็นสกุลเยวี่ยมีอำนาจมากก็กระวีกระวาดไปประจบสอพลอ ข้ามีหรือจะกลัว อย่างมากก็แลกหนึ่งชีวิต หรือติดตามเสด็จแม่ถูกกักบริเวณในตำหนักหย่งอัน ต่อให้น้ำฝนท่วมฟ้าก็ราดดับความคั่งแค้นของพวกเราแม่ลูกไม่ได้!”
วาจาเอ่ยมาถึงขั้นนี้ ผู้อื่นล้วนไม่เหมาะจะสอดปากอีก องค์หญิงสามหยิบหมูแผ่นชิ้นสุดท้ายขึ้นจากจานก่อนเอ่ยอย่างสบายอารมณ์ “อย่าได้เอาคำพูดนี้มาขู่ขวัญผู้อื่นเลย ไหวอันอ๋องไทเฮาคั่งแค้นหรือไม่ ให้เจ้าชี้ขาดได้หรือ เซ่าซาง เจ้าว่าตอนนี้ไหวอันอ๋องไทเฮาคั่งแค้นหรือไม่เล่า”
สายตาของคนทั้งหมดพร้อมใจกันมองมาทางเฉิงเซ่าซางซึ่งนั่งอยู่ที่มุมหนึ่ง แววตาขององค์หญิงห้าแผ่ไอหนาวออกมาทันใด “เจ้า…เจ้าก็มาด้วย?!”
เฉิงเซ่าซางในปัจจุบันผ่านศึกมาโชกโชน จึงตอบโดยหน้าไม่เปลี่ยนสี “ฮองเฮาทรงเรียกตัวหม่อมฉันมาร่วมงานเลี้ยงเพคะ”
จบคำนางคลี่ยิ้มอ่อนหวานให้สตรีชั้นสูงทุกท่านในที่นี้ “ทูลองค์หญิง เรียนพระชายากับฮูหยินทุกท่าน ข้อแรกไหวอันอ๋องไทเฮาทรงมิได้ถูกกักบริเวณในตำหนักหย่งอันแต่อย่างใด ทรงอยากเข้าตำหนักก็เข้าตำหนัก อยากออกนอกตำหนักก็ออกนอกตำหนัก ห้าปีมานี้เว้นแต่ช่วงที่ประชวร หม่อมฉันกับไหวอันอ๋องไทเฮาจะไปเที่ยวเล่นที่อุทยานนอกวังกันหลายครั้งต่อปี วสันต์ไปชมความงอกงาม เหมันต์ไปชมหิมะ คิมหันต์แผดเผายิ่งเหมาะแก่การหลบร้อน”
ผู้คนในโถงฟังนางบรรยายได้น่าสนใจ ก็พากันหัวเราะครืน