ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย
ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย เล่ม 7 บทที่ 161
“ข้อที่สอง ในพระทัยของไหวอันอ๋องไทเฮามิได้คั่งแค้น ทรงเตรียมจะใช้ชีวิตสักหนึ่งถึงสองร้อยปี ยามนี้จึงวุ่นกับการบำรุงพระวรกายแทบไม่ทันด้วยซ้ำ ไหนเลยจะมีเวลาว่างมาคั่งแค้นนี่คั่งแค้นนั่นกันเล่า” หลายปีที่ผ่านมาเฉิงเซ่าซางเผชิญกับเจตนาร้ายมานักต่อนัก จึงรับมือได้อย่างเยือกเย็นนานแล้ว
คนทั้งหมดล้วนรู้ว่าสุขภาพของไหวอันอ๋องไทเฮานับวันยิ่งไม่สู้ดี ได้ยินเฉิงเซ่าซางตอบได้เข้าทีดีพร้อม ต่างก็คลี่ยิ้มอย่างพึงพอใจ
องค์หญิงห้ายังคงเอ่ยเสียงแหลม “ปากดีจริงนะ เจ้าถือสิทธิ์อะไรมาพูดจาแทนเสด็จแม่ข้า! เจ้ามันก็แค่คนถ่อยสอพลอชาติกำเนิดต่ำเตี้ย พูดกล่อมจนเสด็จแม่ข้าโปรดปราน แล้วทำตัวเป็นจิ้งจอกแอบอ้างบารมีพยัคฆ์* ก็เท่านั้น!”
“องค์หญิงห้า ต่อให้หม่อมฉันมีชาติกำเนิดต่ำต้อยสักเพียงใด ก็เป็นผู้ที่ปรนนิบัติเสด็จแม่ของท่าน และเป็นผู้ดูแลตำหนักหย่งอันที่ฝ่าบาททรงแต่งตั้งด้วยพระองค์เอง” เฉิงเซ่าซางมีสีหน้าเป็นปกติ “หม่อมฉันมีขั้นยศจากราชสำนัก มีความไว้วางพระทัยจากไหวอันอ๋องไทเฮา หม่อมฉันมิต้องเป็นจิ้งจอกแอบอ้างบารมีพยัคฆ์แต่อย่างใด” แววตาของนางเรียบเฉย ทุกคำทุกประโยคมีพลังหนักแน่น
เหล่าสตรีคิดในใจ…ช่างเป็นหญิงสาวที่เก่งฉกาจนัก
คำพูดขององค์หญิงห้าล้วนถูกตอกกลับมา จึงโต้กลับอย่างฉุนเฉียว “ความประพฤติเจ้าต่ำทราม ไม่คู่ควรจะปรนนิบัติเสด็จแม่ข้า!”
“หม่อมฉันมีความประพฤติต่ำทรามตรงที่ใดเพคะ” เฉิงเซ่าซางถาม
“เจ้ากลับกลอกรวนเร มากรักหลายใจ ก่อเรื่องจนถูกวิจารณ์ไปทั้งเมือง เสื่อมเสียเกียรติภูมิของเสด็จแม่ข้า หากเจ้ายังรู้จักยางอายก็ควรจะรีบๆ ไสหัวออกจากวังไปเสีย!” ในที่สุดองค์หญิงห้าก็คว้ากุมจุดอ่อนของอีกฝ่ายได้ จึงเร่งตีแผ่ต่อยอด
เฉิงเซ่าซางยิ้มบางๆ “ก่อนอื่นขอเอ่ยถึง ‘กลับกลอกรวนเร’ หม่อมฉันถอนหมั้นหนแรก…เพราะต้องการส่งเสริมคำสั่งเสียของแม่ทัพเหอผู้ภักดีเสียสละทั้งตระกูล ถอนหมั้นหนที่สอง…เพราะการกระทำอันอุกอาจของฮั่วโหว หม่อมฉันไม่อาจจะกล้อมแกล้มเห็นพ้องได้ องค์หญิงห้า หรือว่าความหมายของท่านคือสตรีไม่พึงแต่งงานใหม่ หากแม้แต่การแต่งงานใหม่ก็ยังเป็นเรื่องปกติ เช่นนั้นหม่อมฉันเปลี่ยนคู่หมั้น จะมีอันใดให้ติเตียนเล่า”
พูดสักประโยคที่ไม่น่าฟัง ฮูหยินของเยวี่ยโหวรองเป็นหญิงม่ายแต่งงานใหม่ ชายาของหรู่หยางอ๋องซื่อจื่อเองก็เคยหมั้นหมาย ต่อมาถอนหมั้นด้วยเหตุผลบางประการจึงค่อยแต่งเข้าจวนหรู่หยางอ๋อง เพียงแต่กรณีของพวกนางล้วนดำเนินไปเงียบๆ ไม่ได้สร้างความแตกตื่นแก่ผู้คน ผิดกับกรณีของเฉิงเซ่าซางที่บานปลาย ช่างดวงตกเสียไม่มี
“มาต่อที่ ‘มากรักหลายใจ’ หม่อมฉันแม้เคยหมั้นหมายสามครา ทว่ารักษาจารีตสำรวมตนมาโดยตลอด ไม่เคยกระทำเลยเถิดแม้เพียงนิด องค์หญิงห้า…ทรงว่าอย่างไรเพคะ” เฉิงเซ่าซางมองถากถางไปทางองค์หญิงห้า ความหมายในดวงตาเผยชัดแจ้ง หญิงมักมากที่เลี้ยงชายบำเรอตั้งแต่ก่อนแต่งงานเยี่ยงเจ้า มีคุณสมบัติอันใดมาต่อว่าผู้อื่น
ฮูหยินของเยวี่ยโหวใหญ่ให้การสนับสนุนเต็มที่ด้วยการเปล่งเสียงหัวเราะเยาะหนึ่งหน
องค์หญิงห้าเสียหน้าจนหัวเสีย จึงตะคอกเสียงแหลม “เจ้ามันหญิงชั้นต่ำ…”
“ข้าว่าสิ่งที่เซ่าซางพูดมาล้วนไม่ผิด” องค์หญิงสามเอ่ยตัดบท “นางไม่ได้ทำผิดอะไรเลย ส่วนเหตุใดข้างนอกจึงบานปลายครึกโครม น้องหญิงห้าควรจะไปถามบุรุษที่ข้างนอก ปรี่มาหาสตรีเยี่ยงนี้นับเป็นผู้กล้าอันใดกัน”
องค์หญิงห้าโกรธจัดจนหัวเราะออกมา “ดีๆ พวกเจ้ารวมหัวกันหยามข้า แดกดันข้า ดูเรื่องตลกของข้า! ได้ๆ หาว่ากิริยาวาจาข้าไม่สำรวม ข้าก็จะทำเรื่องบางอย่างออกมาให้พวกเจ้าได้ดู…”
“เจ้าจะทำอะไรเล่า” เสียงอันเฉยชาและคุ้นหูของสตรีผู้หนึ่งพลันดังมา คนทั้งหมดก็ลุกจากที่นั่งมาหมอบคำนับเต็มพิธีการในทันที
องค์หญิงห้าชะงักไปวูบหนึ่ง ก่อนจะรีบหมุนตัวมาหมอบคำนับเช่นกัน…นางไม่ได้บ้าบิ่นจริงๆ เสียหน่อย หลายปีมานี้ถูกเยวี่ยฮองเฮาสั่งสอนและเล่นงานไปหลายครา หากมิใช่หนนี้บ่าวเลี้ยงม้าคนโปรดตายอนาถ อาการเลือดขึ้นหน้าก็คงไม่กำเริบขึ้นมาอีก
สิ้นเสียงประกาศของขันทีว่า ‘ฮองเฮาเสด็จ’ ชวีหลิงจวินก็พยุงเยวี่ยฮองเฮาเดินเนิบนาบมาถึง
เยวี่ยฮองเฮายืนตรงกึ่งกลางเบื้องบน มองลงมาทางองค์หญิงห้าด้วยท่าทางอันเย็นชาน่ายำเกรง “ข้าว่าเจ้าสุขสบายนานเกินไปแล้ว อาการเก่าจึงได้กำเริบ ไม่รู้จักความเป็นความตาย!”
“ไม่ๆ ฮองเฮาเพคะ เป็นพวกนางต่างหากที่ยั่วยุ…” องค์หญิงห้ารีบปัดความผิด
“คำพูดเมื่อครู่ข้าได้ยินแค่นิดๆ หน่อยๆ เจ้าไม่ต้องรีบร้อนบ่ายเบี่ยงก็ได้” เยวี่ยฮองเฮาจับจ้องนางอย่างเยียบเย็น “เสด็จพ่อเจ้ารักในชื่อเสียง แต่ข้าไม่กลัวจะถูกผู้อื่นหาว่าใจจืดหรอกนะ ขืนเจ้ายังกล้าอาศัยที่ฝ่าบาททรงให้เกียรติไหวอันอ๋องไทเฮาจึงเที่ยวพูดจาเหลวไหล สามหาวไร้ความกริ่งเกรง ข้ารับรองว่าจะทำให้เจ้าเป็นไม่ได้แม้แต่องค์หญิง!”
องค์หญิงห้าจรดหน้าผากแนบพื้น หลั่งเหงื่อเย็นไม่ขาดสาย
เฉิงเซ่าซางเหลือบมองด้วยหางตา ในใจลอบด่าว่า ไร้ศักดิ์ศรี หากองค์หญิงห้าฝืนยืนหยัดจนถึงที่สุดจริงๆ ข้ายังจะนับถือว่าอีกฝ่ายเป็นผู้กล้า ตอนนี้เห็นที…ก็แค่พวกตาขาวที่แข็งนอกอ่อนใน
เยวี่ยฮองเฮากล่าว “ชวีหลิงจวินขมสิ้นหวานตาม วันนี้ทุกคนยินดีมาต้อนรับนาง หากเจ้าทำใจให้ยินดีไม่ได้ก็อย่าฝืนอยู่ที่นี่อีกเลย กลับไปคิดทบทวนให้หนักๆ จะดีกว่า”
องค์หญิงห้าแค้นใจจนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน แต่ก็ไม่กล้าเหิมเกริมกับเยวี่ยฮองเฮา จึงก้มหน้าจากไปพร้อมความอับอายระคนโกรธเกรี้ยว
เฉิงเซ่าซางเป็นเช่นคนถ่อยที่เห็นผู้อื่นเคราะห์ร้ายแล้วรู้สึกสาแก่ใจยิ่ง ขณะลุกขึ้นกลับที่นั่ง นางเห็นเยวี่ยฮองเฮามองปราดมา สายตาคลับคล้ายหยุดบนร่างนางครู่หนึ่ง
หัวใจนางให้ผวาวูบ…มีอะไรอย่างนั้นหรือ
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 19 ก.ค. 66 เวลา 12.00 น.