หญิงสาวใต้ต้นบุปผาแลดูขาวซีดบอบบาง ทว่าบนพวงแก้มอันเนียนนุ่มถูกระบายด้วยสีแดงจากฤทธิ์สุราอุ่น ราวทาชาดเปื้อนบนหยกขาวที่มีเนื้อละเอียดกึ่งโปร่งใส กลีบบุปผาสีขาวนวลปลิดปลิวลงมา หล่นบนเรือนผมสีดำขลับของนางเล็กน้อย ฮั่วปู้อี๋ปล่อยแขนเสื้อของนางลง พิศมองนางตาไม่กะพริบ ฝ่ามือข้างที่ยึดกุมข้อมือของนางอยู่ยังคงไม่ไหวติง
“ข้ามีถ้อยคำจะพูดกับเจ้า” เขากล่าว
เฉิงเซ่าซางฉุนกึก “วันหลังค่อยมาพูดกัน ท่านจงปล่อยมือก่อน! อ๊ะ! ท่านปล่อยมือนะ!” ฮั่วปู้อี๋มิเพียงไม่ปล่อยข้อมือนาง ยังถือโอกาสโอบเอวบางของนางไว้ ความแรงของพละกำลังนั้นรัดรึงจนนางแทบหมดสติ
“จะพูดตอนนี้” น้ำเสียงของเขาเยือกเย็น
เฉิงเซ่าซางจำต้องรอมชอม “เช่นนั้นก็ไม่อาจพูดตรงนี้ หาที่อื่นเถิด” เกียรติภูมิของนางแม้ย่ำแย่ยิ่ง แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นที่ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว
ฮั่วปู้อี๋เองก็คุ้นเคยกับตำหนักฉางชิว ได้ยินเช่นนั้นจึงฉุดพานางเดินมุ่งไปทางอุทยานภายในตำหนัก เฉิงเซ่าซางรีบยับยั้ง “อย่าๆๆ วันนี้ทิวทัศน์วสันต์กำลังงาม หลังกินเลี้ยงฮูหยินทั้งหลายจะต้องไปเดินเล่นคลายฤทธิ์สุราที่อุทยานแน่…ไปตำหนักปีกดีกว่า ที่นั่นมีห้องที่ลับตาคนหลายห้อง…”
คิ้วคมของฮั่วปู้อี๋เลิกขึ้น แต่ก็ยังคงทำตามคำของนาง
ครั้นเลี้ยวไปตามทางระเบียงสองสามหน หนุ่มสาวทั้งสองก็มาถึงห้องที่ปลอดคนห้องหนึ่ง ฮั่วปู้อี๋สาวเท้าฉับไวปานดาวตก ผิดกับเฉิงเซ่าซางที่เดินตุปัดตุเป๋ หลายครั้งที่เขาอยากจะอุ้มนาง ล้วนถูกนางปฏิเสธอย่างหนักแน่น
พอเข้ามาในห้อง เฉิงเซ่าซางก็ออกแรงผลักไสชายหนุ่ม แล้วเดินห่างไปหลายก้าว “เอาล่ะ ท่านมีอันใดก็พูดมาสิ”
ฮั่วปู้อี๋ยืนอยู่ตรงประตู หันหลังพลิกมือไปปิดประตูฉลุลายวิจิตรที่กรุด้วยกระดาษหนังแพะใหม่เอี่ยม ก่อนเดินเนิบช้ามาหานางดุจเทพเจ้าผู้มีสีหน้าอึมครึม ชักพาให้นางถอยหลังไปหนึ่งก้าวอย่างห้ามไม่อยู่
ฮั่วปู้อี๋เลิกแขนเสื้อข้างขวาของเขาขึ้น บนนั้นมีรอยฟันอันเล็กประณีตสีชมพูคล้ำอยู่หนึ่งวง “เหตุใดรอยแผลของเจ้าตื้นเช่นนั้น เมื่อแรกรอยที่ข้ากัดควรจะลึกกว่าที่เจ้ากัดสิ”
เฉิงเซ่าซางใช้มือซ้ายลูบต้นแขนขวาของตนเองช้าๆ กดตรงรอยแผลนั้นแล้วตอบเสียงเรียบเฉย “หลายปีมานี้ข้าไปหาหมอหลวงที่เก่งการรักษาแผลภายนอกมากที่สุด ใช้ยาขี้ผึ้งขจัดแผลเป็นที่ดีที่สุด ก็เพื่อจะลบร่องรอยนี้ให้หมดสิ้น ตอนนี้เหลืออีกนิดเดียวเท่านั้น รอจนยามที่ข้าแต่งงาน ร่องรอยนี้ก็จะเลือนหายจนเกลี้ยงเกลา!”
หญิงสาวยืนอยู่ตรงนั้นอย่างทระนง แววตาไร้น้ำใจ ฮั่วปู้อี๋พลันเคืองแค้นขึ้นมา ตอนนี้เขาไม่ต่างจากคนป่วยอาการเพียบหนัก หมดทางเยียวยาแล้ว นางกลับหมายจะปลีกตัวโดยไม่สึกหรอ รอจนรอยแผลหายก็จะแต่งกับบุรุษอื่นอย่างสบายอกสบายใจ ถือสิทธิ์อันใดกัน!
เขาฝึกวรยุทธ์มาแต่เล็ก ขั้นตอนการสยบคู่ต่อสู้เขาจำได้ขึ้นใจตั้งแต่แรก ต่อให้นั่งอยู่บนอานม้าในอาการง่วงเพลียหรือถึงขั้นม่อยหลับ ทันทีที่มือสัมผัสถูก ร่างกายก็จะตอบสนองไปเองโดยธรรมชาติ สัญชาตญาณชนิดนี้ช่วยให้เขาพิชิตศัตรูคว้าชัยในยามที่อ่อนระโหยโรยแรงมาได้หลายต่อหลายครั้ง ทว่ายามนี้เขากลับไม่คำนึงถึงสิ่งใด เดินปราดก้าวใหญ่ตรงมา พับแขนหญิงสาวอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง กึ่งกดตรึงนางไว้ เลิกแขนเสื้อนางขึ้นแล้วกัดลงไปทันที
เฉิงเซ่าซางถูกกดให้นั่งอยู่บนพื้นกระดานอันเงาวับ นางตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งค่อยได้สติ ราวกับเห็นเทพเจ้าผู้มีคิ้วตาการุณย์พลันลบสิ่งปลอมแปลงออก เผยให้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของมารร้าย
ฮั่วปู้อี๋อ่อนโยนกับนางมากเสมอมา แม้แต่กัดแขนสาบานคราวก่อนก็หารือเสียงนุ่มนวลแล้วค่อยลงคมเขี้ยว ไฉนไปด่านชายแดนมาห้าปีถึงได้ถดถอยจากคนยุคศักดินาอันก้าวหน้ามีอารยะ กลับไปเป็นชนเผ่ายุคดึกดำบรรพ์ที่กินเนื้อดิบๆ ทั้งขนทั้งเลือดได้เล่า!
เมื่อผิวหนังปริ ความเจ็บปวดรุนแรงก็แล่นมาจากต้นแขน แขนขวาของเฉิงเซ่าซางถูกยึดกุมไว้ไม่อาจขยับเขยื้อน ได้แต่ใช้มือซ้ายตอบโต้ เริ่มจากขยุ้มเรือนผมดกดำแข็งแรงของเขาไว้แน่น จากนั้นกระตุกไปด้านหลัง นางนึกว่าออกแรงถึงขั้นนี้ อย่างน้อยหนังศีรษะของเขาก็ต้องเจ็บ ทว่าฮั่วปู้อี๋มีสีหน้าเป็นปกติ แนวฟันออกแรงเช่นเดิม เพียงใช้แววตาอันเยือกเย็นจ้องนางอย่างดุดัน
“ท่านปล่อยมือนะ ปล่อยมือ! ปล่อยข้าสิ เจ็บๆๆ…ท่านหยุดปากก่อน!” ซี่ฟันอันคมกริบกรีดผ่านผิวชั้นนอกลงไปถึงชั้นกล้ามเนื้อแล้ว เฉิงเซ่าซางเจ็บปวดสาหัส ทุบตีเปะปะไปบนบ่าไหล่กับท่อนแขนของเขา ยามที่คั่งแค้นสุดขีดยังตะกุยใบหน้าอันสมบูรณ์ไร้ที่ติของเขาด้วย ทว่าผลกลับกลายเป็นเล็บที่นางบรรจงบำรุงระหว่างใช้ชีวิตในรั้ววังล้วนฉีกจนสิ้น ปลายนิ้วของนางถึงกับมีเลือดซึมออกมา
ในที่สุดฮั่วปู้อี๋ก็คลายคมเขี้ยว เฉิงเซ่าซางร้องไห้พลางชักแขนของตนคืนมา เห็นรอยแผลซึ่งเดิมใกล้จะเลือนหายแล้วปรากฏสีเลือดสดใหม่หนึ่งวงทับย้ำลงไปดังเก่า รอยฟันคมชัด เนื้อสีเลือดชวนพรั่นพรึง…ชัดเจนยิ่ง ต่อให้หมอเทวดาจุติลงมา นางก็อย่าได้ฝันว่ารอยแผลนี้จะอันตรธานไร้ร่องรอยภายในไม่กี่เดือน ความยากลำบากหลายปีของนางล้วนสูญเปล่าในวันเดียวแล้ว
ฮั่วปู้อี๋คุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น พร้อมกับคลำหาบางสิ่งจากในถุงแพรที่ข้างเอวของเขา