ในใจนางมีกำแพงสูงที่ก่อด้วยน้ำแข็งอันแกร่งหนา ฟากนี้ของกำแพงมีนางอยู่ผู้เดียว ไม่มีใครล่วงเข้ามาได้ จนกระทั่งหกปีที่แล้ว ‘หลิงปู้อี๋’ ได้ชนทลายกำแพงน้ำแข็งนี้ด้วยพลังที่ทรงอานุภาพปานอสนี บอกว่านับแต่นี้เขากับนางจะให้ไออุ่นซึ่งกันและกัน นางทุ่มพละกำลังทั้งร่างเพื่อย่างก้าวออกไปเชื่อใจเขา ผลเป็นเช่นไรเล่า…นางตกลงใจแน่วแน่แล้ว ชั่วชีวิตนี้จะไม่ขอก้าวออกไปอีก!
“ข้าจะไม่ให้อภัยท่านเด็ดขาด!” นางน้ำตาพรั่งพรู กัดฟันกล่าวอย่างดุดัน “เลิกฝันไปเสีย ข้ามีชีวิตรอดดีจนถึงวันนี้ได้ก็อาศัยความใจแข็งนี่เอง ข้าจะไม่มีวันอภัยให้คนที่ทำผิดต่อข้า ไม่ซื่อสัตย์หนึ่งครั้ง ไม่ใช้สอยร้อยครา* เมื่อห้าปีก่อนท่านทอดทิ้งข้าได้ จะรู้ได้อย่างไรว่าวันหน้าท่านจะไม่ซ้ำรอยเดิม! ข้ารู้ว่าใครๆ พากันช่วยพูดจาแทนท่านทั้งทางตรงทางอ้อม รวมถึงคนในบ้านข้าด้วย ทว่าข้าจะไม่ให้ท่านได้สมปรารถนา! ไม่มีท่าน ข้าก็มีชีวิตอยู่ได้ดียิ่ง ข้าจะไม่เชื่อท่านอีกเป็นอันขาด! ไม่มีวัน!”
ฮั่วปู้อี๋น้ำตาร่วงริน อ้อนวอนอย่างต้อยต่ำ “พวกเขาไม่ได้ช่วยพูดจาแทนข้า หากแต่กำลังช่วยเหลือพวกเรา เจ้าเองลองถือคันฉ่องส่องดู ยามที่เจ้ามองหยวนเซิ่นกับยามที่มองข้า ท่าทางของเจ้าแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ข้าไม่ใช่คนตาบอด ผู้อื่นก็เช่นกัน!”
เฉิงเซ่าซางหลั่งน้ำตาปานสายฝน สะอึกสะอื้นจนแทบไม่อาจเปล่งวาจา “ไม่มีท่าน ข้าก็มีชีวิตอยู่ดีได้ ข้ากับหยวนเซิ่นจะแก่เฒ่าไปด้วยกัน อยู่ร่วมกันไปทั้งชีวิต…”
ฮั่วปู้อี๋เอ่ยเสียงแผ่ว “ใช่ สมน้ำหน้าข้าแล้วที่ต้องเดียวดายไปทั้งชาติ เจ้าย่อมจะลืมข้าได้ในที่สุด”
เฉิงเซ่าซางจุกในลำคอจนทรมานยิ่ง
ฮั่วปู้อี๋แหงนมองนาง “ข้าไม่เคยอยากทำร้ายเจ้าเลย ตลอดมาข้าหวังให้เจ้าราบรื่นดังใจหมาย เปี่ยมสุขไร้ทุกข์จนชั่วชีวิต เมื่อแรกแม้แต่สถานที่ที่เจ้ากับโหลวเหยาจะไปรับตำแหน่งต่างเมือง ข้าก็หาไว้แล้ว ที่นั่นขุนเขางามธารน้ำใส วิถีชีวิตของผู้คนเรียบง่ายจริงใจ เจ้าชอบเผาแผ่นกระเบื้องก็เผาแผ่นกระเบื้อง ชอบบ่มสุราก็บ่มสุรา จะไม่มีใครมาติเตียนเจ้า
ห้าปีมานี้ข้ามักฝันเรื่องหนึ่ง ฝันเห็นท่านพ่อท่านแม่กับพี่ชายพี่สาวล้วนมีชีวิตอยู่ดี ไม่เคยเกิดภัยล้างตระกูลอันน่าสลดนั้น ข้าไปสู่ขอที่บ้านเจ้า เจ้าตอบรับข้า จากนั้นพวกเราก็เป็นสามีภรรยากันอย่างมีความสุข…”
ดวงตาของเฉิงเซ่าซางชุ่มน้ำตาจนพร่าเลือน ใจคิดว่าหากฮั่วชงสามีภรรยายังมีชีวิตอยู่ หากคนทั้งหมดล้วนยังมีชีวิตอยู่ นั่นจะดีสักเพียงใด
ฮั่วปู้อี๋จะต้องเป็นชายหนุ่มที่ร่าเริงองอาจที่สุดในเมืองหลวงทั้งเมืองแน่นอน เขากับนางยังจะพบกันในงานโคมไฟ เพียงแต่หนนี้เขาจะไม่มีสิ่งที่ต้องพะวงอีก เขาจะเดินตรงมาอย่างผ่าเผย และนางเพียงแรกเห็นใบหน้าของเขาก็จะเกิดอาการเคลิ้มอย่างหนักเป็นแน่
เซียวฮูหยินอาจจะติติงว่าเขามุทะลุ ท่านพ่อเฉิงอาจจะตำหนิว่าเขาล่วงเกิน แต่เนื่องจากสกุลฮั่วเป็นวงศ์ตระกูลที่เรืองอำนาจ ท้ายที่สุดนางย่อมจะได้แต่งออกไป รอจนยามที่มีบุตรธิดาห้อมล้อม นางจะบอกกับทุกคนว่า…ความจริงแล้วผักกาดขาว* เป็นผู้ลงมือก่อน
ฮั่วปู้อี๋สองตาแดงก่ำ ขนตาเกาะไปด้วยหยาดน้ำ เขาคว้ากุมสองมือนางมาวางบนแก้มของตน “เจ้าอย่าใจร้ายเช่นนี้เลยนะ ขอร้องเจ้า ได้โปรดอย่าใจร้ายกับข้าเช่นนี้เลย”
เฉิงเซ่าซางไม่อาจประคองท่าทีเย็นชาต่อไปได้ไหว ร่ำไห้ออกมาราวเด็กน้อย น้ำหูน้ำตานอง หมดท่าโดยสิ้นเชิง…วันนี้นางพ่ายแพ้ย่อยยับ ไม่มีเรี่ยวแรงจะโต้กลับแม้เพียงนิด
ตอนนี้เองเสียงสนทนาเซ็งแซ่พลันดังขึ้นที่เบื้องนอก คล้ายมีคนจำนวนมากกำลังเดินมุ่งมาทางนี้ ที่นำมาก่อนใครคือเสียงหัวเราะกังวานปนเมามายขององค์หญิงสาม “ชวีหลิงจวินกลับไปเร็วนัก ยังไม่ได้กินเกาลัดผลไม้แช่เย็นของตำหนักเสด็จแม่เลย ยังมีเฉิงเซ่าซางอีกคน ไม่รู้หายไปที่ใดแล้ว”
องค์หญิงรองกล่าว “หลิงจวินอุ้มท้องอยู่นะ เจ้านึกว่านางเหมือนเจ้าหรือไร ใส่ปากกินไม่เลือก เล่นสนุกไม่มีพัก ส่วนเซ่าซางคงจะกลับตำหนักหย่งอันไปแล้ว ข้าได้ยินว่าพักนี้สุขภาพของเซวียนไทเฮานับวันก็ยิ่งไม่สู้ดี”
ชายาของหรู่หยางอ๋องซื่อจื่อถาม “วันนี้ทิวทัศน์วสันต์งามยิ่ง เหตุใดพวกเราไม่ไปตั้งโต๊ะกันที่อุทยานด้านหลัง รับสายลมคลายฤทธิ์สุรากันเล่า”
องค์หญิงสามหัวเราะหึๆ “จริงอยู่ทิวทัศน์วสันต์งามตา แต่ว่ายุงแมลงก็ชุมด้วย ใช้ห้องนี้กันดีกว่า ฉากประตูทั้งสามด้านล้วนถอดออกได้ ถึงตอนนั้นก็จะรับลมชมทัศนียภาพได้เช่นเดียวกัน”
“โอ๊ะ เดี๋ยวนี้พี่หญิงสามละเอียดรอบคอบเพียงนี้แล้ว”
“เจ้าไปเลยนะ พวกไม่รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่!”
เหล่าสตรีพากันหัวเราะร่วนดังฮ่าๆ