บทที่ 160
คืนนั้นเฉิงเซ่าซางพลิกตัวไปมาตลอดคืน รุ่งขึ้นฟ้ายังไม่สางก็ส่งคนไปถ่ายทอดคำพูดที่จวนสกุลหยวน ระบุชื่อให้หยวนเซิ่นตัวเด่นของวันนี้มาส่งนางกลับเข้าวัง ดังนั้นหยวนเซิ่นจึงสั่งบ่าวเตรียมรถม้าที่เลี่ยมขอบด้วยหยกทองอันน่าโอ้อวดคันหนึ่ง หน้าระรื่นรุดมาจวนสกุลเฉิงก่อนเวลาประชุมเช้า ผลลัพธ์กลับได้ยินคู่หมั้นที่สองตาบวมเป่งเรียกร้องให้เขาถอนหมั้นด้วยสีหน้าอันจริงจัง
“เจ้าว่าอะไรนะ!” หยวนเซิ่นสงสัยว่าตนเองฟังผิดไป “วานซืนเจ้ายังพูดอยู่ว่าจะไม่ถอนหมั้นเด็ดขาด นี่เพิ่งผ่านไปหนึ่งวันสองคืน เจ้าก็กลับคำเสียแล้ว? นี่เป็นเพราะเจ้านอนเกินเวลาใช่หรือไม่” ไม่กี่วันนี้เนื่องจากท้องถิ่นมีคนคัดค้านคำสั่งรังวัดที่ดิน เป็นเหตุให้ราชสำนักยุ่งเหยิง ฮั่วปู้อี๋น่าจะไม่มีเวลาเล่นลูกไม้นี่
เฉิงเซ่าซางใช้มือข้างหนึ่งยันผนังรถ ก่อนเอ่ยยืนยัน “ท่านไม่ได้ฟังผิด ข้าขอเตือนท่าน รีบถอนหมั้นเสียเถิด ชักช้าเกรงว่าจะย่ำแย่”
“เมื่อวานเกิดเรื่องอะไรขึ้น เป็นใครที่มาหาเจ้า” หยวนเซิ่นหัวไวยิ่ง
เฉิงเซ่าซางบอกเรื่องที่ลั่วจี้ทงมาเยือน หยวนเซิ่นก็มีสีหน้าหนักอึ้ง “…เร็วถึงเพียงนี้ นึกไม่ถึงว่าเขาจะไม่มีเยื่อใยกับลั่วซื่อแม้สักนิด ข้านึกว่าติดขัดที่ลั่วซื่อ เขาคงไม่สะดวกใจจะพลิกโฉมหน้าในทันทีหรอก”
เฉิงเซ่าซางไม่พูดจา เพียงพลิกตัว นั่งลงพิงผนังรถ
หยวนเซิ่นทุบกำปั้นใส่ฝ่ามือ ก่อนเอ่ยเย้ยหยัน “แต่นี่ก็ไม่แปลกพิสดารอะไร ไหวอันอ๋องไทเฮากับตงไห่อ๋องทรงให้ความสนิทชิดเชื้อและไว้วางพระทัยต่อเขาถึงเพียงใด เขาฮั่วปู้อี๋บทจะหักหลังทั้งสองพระองค์ ก็หักหลังทันทีไม่ใช่หรอกหรือ!”
เฉิงเซ่าซางรู้สึกว่าวาจานี้บาดหู แต่กลับโต้แย้งไม่ออก
หยวนเซิ่นก่นด่าอย่างคั่งแค้นเบาๆ รอบหนึ่ง จากนั้นจงใจเอ่ยล้อเล่น “ต่อให้เขาตัดขาดกับลั่วซื่อแล้ว เจ้ามาเรียกให้ข้าถอนหมั้น มันหมายความว่าอย่างไร หรือว่าพอเขาไม่มีพันธะแต่งงาน เจ้าก็จะโผไปหาเขา?”
“ท่านก็รู้ว่าข้าไม่ใช่คนเช่นนี้” เฉิงเซ่าซางแค่นหัวเราะ “ในชีวิตข้าเกลียดคำว่า ‘เข้าใจแล้วให้อภัย’ นี่ที่สุด ก็เพราะคำนี้ จึงมีบางคนทำร้ายทำลายผู้อื่นโดยไร้ซึ่งความกริ่งเกรง อย่างไรเสียหลังจบเหตุแล้วยอมรับผิดเอ่ยขออภัย ย่อมจะมีสักคนบอกว่า ‘ช่างเถิดๆ’ ฮึ ใต้หล้านี้มีเรื่องบางอย่างทำไปแล้วก็คือทำไปแล้ว ทำร้ายไปแล้วก็คือทำร้ายไปแล้ว ถือสิทธิ์อันใดผู้อื่นต้องเข้าอกเข้าใจแล้วให้อภัยด้วยเล่า!” อย่างเช่นนาง…จะไม่ยอมเข้าใจแล้วให้อภัยฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงกับเก่อซื่อเป็นอันขาด
…ท่านพ่อเฉิงกับเซียวฮูหยินยังกล่าวได้ว่าทำเพื่อสร้างอนาคตให้วงศ์ตระกูลกับบุตรธิดา ลาภยศกับความมั่นคงปลอดภัยที่ต่อสู้ได้มาเหล่านี้ นางก็นับว่าได้เสพรับแล้ว ต่างจากฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน เพียงเพื่อจะควบคุมบุตรชายกับสะใภ้ ถึงกับไปทำร้ายเด็กน้อยที่ไร้ความผิดผู้หนึ่ง ต่อให้วันหน้าอีกฝ่ายตายไป นางก็จะไม่ให้อภัยอยู่ดี ไม่ใช่ผู้สูงวัยทุกคนหรอกนะที่คู่ควรจะเคารพ!
หยวนเซิ่นเงียบงันไปครู่หนึ่งก่อนกล่าว “เช่นนั้นเหตุใดเจ้าจึงรีบร้อนจะให้ข้าถอนหมั้นเล่า สกุลลั่วไม่ใช่วงศ์ตระกูลธรรมดาเสียหน่อย ได้รับความอัปยศมากเพียงนี้ มีหรือจะละเว้นฮั่วปู้อี๋ไปง่ายๆ เรื่องราวจะเรียบง่ายเช่นนี้ได้อย่างไร”
เฉิงเซ่าซางไม่ตอบ กลับย้อนถามว่า “ท่านรู้นิสัยความเคยชินยามที่ฮั่วปู้อี๋ลงมือหรือไม่ ปีที่ตงไห่อ๋องขอลงจากตำแหน่งรัชทายาท ข้าเคยไปช่วยเก็บข้าวของที่ตำหนักบูรพา พลิกเจอหนังสือที่ตงไห่อ๋องขอคุณความชอบให้ฮั่วปู้อี๋กับจดหมายที่ฮั่วปู้อี๋เขียนถึงตงไห่อ๋องในช่วงหลายปีก่อน”
หยวนเซิ่นมองนางด้วยความฉงน
“มีอยู่เรื่องหนึ่ง ตอนนั้นเขาอายุราวสิบหกสิบเจ็ดได้ ฝ่าบาทรับสั่งให้เขากับจางเย่าแยกกันไปปราบค่ายโจรสองแห่งที่มณฑลอวี้โจว ค่ายโจรสองแห่งนั้นค่ายหนึ่งอยู่ที่เมืองเหลียง อีกค่ายอยู่ที่เมืองหลู่ ว่ากันตามจริง ค่ายโจรที่เมืองเหลียงมีขุมกำลังอ่อนด้อยกว่า ดังนั้นแต่แรกเริ่มฝ่าบาทจึงทรงให้ฮั่วปู้อี๋ไปเมืองเหลียง ทว่าจางเย่าเป็นเดือดเป็นแค้น เที่ยวพูดกับผู้อื่นว่าหนนี้ตนน่ะเป็นแค่ตัวเสริมความเด่นให้บุตรบุญธรรมของฮ่องเต้ ฮั่วปู้อี๋จึงเป็นฝ่ายขอแลกเมืองกับจางเย่าเอง”
หยวนเซิ่นกล่าว “จางเย่าผู้นี้ใจแคบจริงๆ คิดเล็กคิดน้อยกระทั่งกับหนุ่มน้อยที่ยังไม่ถึงวัยครอบเกี้ยว มิน่าเล่า ต่อให้วรยุทธ์ไม่ธรรมดา ฝ่าบาทก็ทรงไม่เห็นคนผู้นี้เข้าตา”
“ตงไห่อ๋องเป็นห่วงฮั่วปู้อี๋ ฮั่วปู้อี๋จึงเขียนปลอบโยนมาในจดหมาย บอกว่าโจรที่เมืองเหลียงกลุ่มนั้นแม้มีคนน้อย ทว่ามาจากวงศ์ตระกูลเดียวกัน ต่างเป็นญาติสนิทที่เกี่ยวพันกันทางสายเลือด มีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ผิดกับโจรที่เมืองหลู่ ซึ่งแม้มีคนมาก ทว่าไม่ต่างจากฝูงอีกาไร้ระเบียบที่มาชุมนุมกันจากทั่วสารทิศ รวมตัวด้วยผลประโยชน์ ย่อมแตกสลายเมื่อผลประโยชน์สิ้น”
หยวนเซิ่นสังเกตพบรายละเอียด “จดหมายนั้นเขียนขึ้นเมื่อไร”
“กำลังพลสองสายเพิ่งออกจากเมืองหลวงไปไม่ไกล”
“ก็หมายความว่า…ตั้งแต่ที่ฝ่าบาทมีพระประสงค์ให้พวกเขาไปปราบโจร ฮั่วปู้อี๋ก็สืบสถานการณ์ของค่ายโจรสองแห่งนั้นชัดแจ้งแล้ว”
“ถูกต้อง”
หยวนเซิ่นลูบแขนเสื้อ ขบคิดไม่พูดจา