หยวนเพ่ยย่อมได้ยินข่าวชู้สาวที่เบื้องนอกโจษกันเกรียวกราวแล้ว กระนั้นกลับคลี่ยิ้มอย่างแสนใจกว้าง “อันนวลนางสะคราญพร้อม ควรครองคู่วิญญูชน พี่ปองน้องมิเป็นผล กายพลิกวนสุดข่มตา นับแต่โบราณ บุรุษสตรีชอบพอกันก็เป็นเรื่องอันสุนทรีย์ประการหนึ่ง ข้างนอกจะโจษกันบ้างก็ไม่เห็นเป็นไร” เขาพูดพลางกระแอมเบาๆ สองที
“ท่านพ่อ…” หยวนเซิ่นประหลาดใจ
เหลียงซื่อยิ้มกล่าว “ในอดีตท่านพ่อเจ้าท่องยุทธภพกลับมาบ้าน บอกบิดามารดาว่าเขาอยากจะแต่งงานกับตี้อู่เหออี๋ ทำเอาในบ้านอลหม่านกันไปหมด ไม่เพียงท่านปู่เจ้าตีเขาอย่างหนักไปไม่รู้กี่ยก ท่านย่าเจ้าเองก็ตะโกนร่ำไห้ว่าไม่ขอมีชีวิตอยู่แล้ว ช่วงนั้นคนทั้งเมืองล้วนชมดูเรื่องขบขันของสกุลหยวน สตรีในบ้านสกุลหยวนออกไปงานสังสรรค์ข้างนอกมักถูกผู้อื่นถามเย้าว่า ‘คุณชายเพ่ยของบ้านเจ้ายอมยุติแล้วหรือยัง’ หึๆ ตอนนั้นก็ผ่านกันมาแล้วไม่ใช่หรือไร”
นางรับเสื้อนอกที่สาวใช้ยื่นส่งมา แล้วคลุมให้หยวนเพ่ยอย่างนุ่มนวล หยวนเซิ่นเห็นบิดามารดามีอิริยาบถอันใกล้ชิดก็ให้รู้สึกว่าทั้งร่างไม่เป็นตัวของตนเอง เขาเอ่ยเสียงเบาว่า “นี่…จะเหมือนกันได้อย่างไรขอรับ นี่คือ ‘ความแค้นชิงภรรยา’ เชียวนะ ขืนแสดงท่าทีอ่อนแอ สกุลหยวนไม่ถูกผู้อื่นเอาไปพูดสนุกปากหรอกหรือ!”
“ซั่นเจี้ยน เจ้ามานี่สิ” หยวนเพ่ยกวักมืออย่างอ่อนโยน หยวนเซิ่นก็ไปนั่งคุกเข่าข้างกายบิดาตามที่เรียก
หยวนเพ่ยตบบ่าอันผึ่งผายของบุตรชายเบาๆ เอ่ยด้วยถ้อยคำอันอบอุ่น “แต่เล็กมาเจ้าเคร่งครัดกวดขันตนเอง อ่านตำราฝึกวิชาล้วนไม่ต้องให้ผู้ใหญ่เร่งรัด ไม่ว่าจะเข้าสำนักศึกษากราบอาจารย์หรือเข้าราชสำนักเป็นขุนนาง ล้วนเชิดชูเกียรติภูมิให้แก่สกุลหยวนได้ พริบตาเวลาหลายปีก็ล่วงผ่าน เจ้าเติบใหญ่จนรับหน้าที่ด้านหนึ่งด้านใดได้โดยลำพังแล้ว ทว่าพ่อกลับรู้สึกเสียดายที่ไม่เคยได้พูดคุยกับเจ้าอย่างเต็มที่เลย
เจ้าถอนหมั้นสตรีสกุลไช่ สู่ขอสตรีสกุลเฉิง นี่น่าจะเป็นการกระทำที่ไม่เกี่ยวข้องกับผลได้ผลเสียหนแรกในชีวิตนับแต่ที่เจ้ารู้ความ” สีหน้าของหยวนเพ่ยเปี่ยมด้วยความรักความเมตตา ราวกำลังมองบุตรชายที่เพิ่งสูงเท่าสามศีรษะตอนที่ตนจากบ้านไปออกศึก หนูน้อยจ้ำม่ำที่น่าเอ็นดูปานหิมะหยก พ่นฟองน้ำลายจากปากเล็กนุ่ม ทั้งยังขยุ้มขากางเกงของผู้เป็นบิดาไว้ไม่ยอมปล่อย
“พ่อหวังว่าเจ้าจะตรองให้แน่ชัด บัดนี้ที่เจ้าไม่ยอมคลายมือจากสตรีสกุลเฉิง ที่แท้เป็นเพราะรักชอบนางจริงๆ หมายมั่นจะแต่งกับนางให้จงได้ หรือว่าเป็นเพราะศักดิ์ศรี ถือทิฐิไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ หากเป็นอย่างหลัง เจ้ามิสู้ใจกว้างสักหน่อย นับแต่นี้เลิกแล้วกันไป ส่งเสริมความรักของผู้อื่น ก็ไม่เสียทีที่เป็นชายชาตรีผู้องอาจผ่าเผยที่แท้จริง ฮั่วโหวระลึกถึงบุญคุณของเจ้า วันหน้าก็จะช่วยสกุลหยวนของพวกเราสุดกำลังแน่ ทว่าหากเป็นอย่างแรก…ลูกพ่อ เจ้าตรองชัดแจ้งแล้วหรือ”
แววตาของบิดาเจนโลกเปี่ยมสติปัญญา ดุจถูกแสงยิงถึงก้นบึ้งของหัวใจ หยวนเซิ่นพลันสับสนอย่างช่วยไม่ได้…
ความจริงแรกพบเฉิงเซ่าซางในงานโคมไฟ เขาไม่ได้รู้สึกอันใดนัก ต่อมาพบกันอีกหลายคราก็แค่เพียงรู้สึกว่านางคมคายน่าสนใจ ต่อให้พยศแยกเขี้ยวกางกรงเล็บก็ยังชวนให้คนชมชอบ เขาจึงคิดว่าแต่งนางกลับมาก็ไม่เลว
ใครจะรู้ทุกครั้งเขาล้วนช้าไปหนึ่งก้าว นานวันเข้าจึงกลายเป็นความยึดมั่นถือมั่น แต่ในเมื่อมีฮั่วปู้อี๋สกัดอยู่เบื้องหน้า เขาก็เฟ้นหายอดหญิงอื่นไปอย่างรู้ฐานะตนเอง จวบจน…จวบจนเมื่อห้าปีก่อน…
เบื้องหน้าสายตาของเขาพลันปรากฏภาพค่ำคืนใต้เดือนดาวที่ชวนให้หนาวใจ เมื่อเขาได้ข่าวรุดเข้าวังไปก็เห็นนางออกมาจากตรอกตำหนักพอดี สุดท้ายนางพูดว่ามีแต่นางที่เป็นตัวโง่งม นางเหนื่อยล้าแล้ว
นางในตอนนั้นร่างแบบบาง ยึดจับกำแพงพลางขยับฝีเท้าอย่างเชื่องช้า ทึ่มทื่อดุจท่อนไม้ ภาพนั้นโหดร้ายราวปลาที่ถูกขอดเกล็ดทั้งเป็น พลังชีวิตอันสดใสในวันวานล้วนถูกลอกออกจนสิ้น คงเหลือแต่สภาพอ่อนระโหยโรยแรงภายหลังถูกความคับแค้นเจ็บช้ำไร้ที่สิ้นสุดกดทับจนสองไหล่ลู่ตกลง
ยามที่นางเงยหน้าเอ่ยวาจาเหล่านั้น ดวงตาแห้งผากซึ่งหลั่งน้ำตาจนสิ้นแล้ว แลดูทั้งโตทั้งดำขลับยิ่งกว่าที่เคยเป็น แววตาถากถางที่สาดยิงมาถึงกับเผาลวกหัวใจของเขาในพริบตา…หยวนเซิ่นรู้สึกสะเทือนใจจนหายใจติดขัด นั่นใกล้เคียงกับความรู้สึกสงสารระคนเลื่อมใส เป็นอารมณ์หวั่นไหวที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนในช่วงชีวิตยี่สิบสองปีอันมีแบบแผนของเขา
เพียงแต่…ตั้งแต่ต้นจนจบเขาไม่รู้เลยว่าจะจัดการกับความรู้สึกชนิดนี้เช่นไรดี
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 17 ก.ค. 66 เวลา 12.00 น.