บทที่ 86
ท่านพ่อเฉิงวุ่นกับงานมาหนึ่งฤดูคิมหันต์เต็มๆ ระหว่างนั้นได้กลับเข้าจวนแบบรีบเร่งหลายหน ทว่ารีบเสียจนไม่ทันได้เจอหน้าใครทั้งสิ้น ในที่สุดวันนี้เขาก็เสร็จสิ้นชีวิตการฝึกทหารกลางแจ้งประจำฤดูร้อนอันรันทดเสียที กรำแดดจนมีสภาพราวอาบแช่ในหมึกดำของปลาหมึกมาอย่างไรอย่างนั้น ครั้นเห็นเซียวฮูหยินกำลังทาขี้ผึ้งรักษาผิวไหม้แดดบนลำคอกับใบหน้าให้เฉิงสื่อ เฉิงเซ่าซางก็จงใจทำทีรังเกียจรังงอน “ท่านพ่อ สภาพท่านในตอนนี้ดูอายุห่างกับท่านแม่ยี่สิบปีเป็นอย่างน้อย หากคนแปลกหน้ามาเห็นเข้า ต้องนึกว่าพวกท่านเป็นคู่บิดากับบุตรสาว!”
“ไปเลยนะๆๆ! แม่เจ้าไม่ตื้นเขินถึงขั้นตัดสินคนที่หน้าตาหรอก! ชายชาตรีน่ะ อันดับแรกต้องดูที่อุปนิสัย ถัดไปดูที่ความสามารถ ถัดไปอีกดูที่น้ำใสใจจริง…เนอะหยวนอี ใช่หรือไม่”
ท่านพ่อเฉิงทอดมองไปทางภรรยาอย่างออดอ้อน เซียวฮูหยินมิได้ตอบคำ เพียงใช้แววตาดั่งระลอกน้ำไหวค้อนใส่สามีหนึ่งวงกึ่งแง่งอน เท่านี้กระดูกกระเดี้ยวของเฉิงสื่อก็พลันระทดระทวยไปกว่าครึ่งแล้ว
“คราวก่อนท่านพ่อพูดเองว่าเลือกสามีให้ข้าจะดูแต่หน้าอย่างเดียว ไฉนในกรณีสามีของข้า ท่านพ่อถึงไม่พิจารณาอุปนิสัยชายชาตรีอันใดนั่นแล้ว!” เฉิงเซ่าซางพลันตระหนักได้ถึงคำถามข้อนี้
“เหตุผลแรก…หลิงปู้อี๋ผู้นั้นไม่ใช่พ่อเป็นคนเลือกมาสักหน่อย หน้าตาพ่อยังไม่ใหญ่โตถึงขั้นนั้น เหตุผลที่สอง…แม่เจ้าเลือกพ่อ บ่งชัดว่านางไม่ตื้นเขิน ส่วนหลิงปู้อี๋เลือกเจ้า บ่งชัดว่าเขาตื้นเขินยิ่ง เกี่ยวอันใดกับพ่อเล่า” เอ่ยถึงเรื่องปะทะฝีปาก เฉิงสื่อในอดีตก็เป็นที่หนึ่งในตำบล ยากจะพบผู้ต่อกร
เฉิงเซ่าซางตรึกตรองความนัยอันลึกซึ้งในวาจานี้ชั่วครู่…นี่ไม่เท่ากับว่านอกจากหน้า ข้าก็ไม่มีดีอย่างอื่นแล้วสินะ! เฉิงเซ่าซางฉุนกึกจนดวงตาแดงฉาน จากไปอย่างหัวฟัดหัวเหวี่ยง
ท่านพ่อเฉิงจิ้มนิ้วชี้ไปทางเงาหลังของบุตรสาว ก่อนหันมาเอ่ยกับภรรยา “หนูน้อยทึ่มนี่ตาไม่ดีเลยสักนิด เจ้ากับข้าสองสามีภรรยาเพิ่งพบกันหลังแยกจากไปนาน มีถ้อยคำจะกล่าวต่อกันไม่รู้สิ้น พวกบุตรชายล้วนรู้จักหลบเลี่ยง มีก็แต่นางยังอุตส่าห์มายืนปักหลัก!”
เซียวฮูหยินอมยิ้มกล่าว “เป็นเพราะเหนียวเหนี่ยวคิดถึงท่านน่ะสิ จื่อเซิ่งกำนัลม้าดีให้นางสองตัว เป็นม้าดีร่างพ่วงพีที่วิ่งได้วันละพันหลี่อย่างแท้จริง พี่ชายคนใดนางล้วนไม่อนุญาตให้แตะต้อง จะเก็บไว้ให้ท่านทั้งสองตัว เฮ้อ อาซ่งมองตาเป็นมันวาวอย่างกับอะไรดี”
เฉิงสื่อลูบเคราสั้นอย่างกระหยิ่ม ในดวงตาเปี่ยมล้นด้วยความรักเอ็นดู “เหนียวเหนี่ยวดื้อรั้นแต่ปาก จิตใจยังคงดีงามยิ่ง รู้จักกตัญญูมีน้ำใจ เอาใจใส่บิดา หนนี้ข้านำของดีกลับมาให้นางหนึ่งหีบ จะเพิ่มเข้าไปในสินเจ้าสาวของนาง เอ่อ มีแบ่งให้ยางยางด้วยเล็กน้อย จริงสิ ยังมีขี้ผึ้งน้ำมันแกะจากซีอวี้อีกสองกระปุกเล็ก ทีแรกแม่ทัพใหญ่หานแบ่งให้ข้ากระปุกเดียว ข้าใช้ผ้าใยป่านสามสิบพับแลกมาเพิ่มอีกกระปุกให้หนูน้อยทึ่ม ฤดูสารทอากาศแห้ง ถึงเวลาพวกเจ้าสองแม่ลูกใช้ทามือทาหน้า ดีกว่าน้ำมันหอมในเมืองหลวงแน่นอน”
เซียวฮูหยินคลี่ยิ้มไม่เอ่ยคำ ในใจคิดว่าชาตินี้ความขุ่นแค้นที่สามีตนมีต่อเก่อซื่อคงจะไม่มีวันสลายแล้ว ทว่าย่อมไม่อาจให้ยางยางกับเหนียวเหนี่ยวสองพี่น้องได้รับการปฏิบัติที่ไม่เท่าเทียม นี่เป็นข้อพึงระวังอันสำคัญต่อความเจริญของวงศ์ตระกูล เอาไว้ค่อยแบ่งจากส่วนของตนให้ยางยางไปจำนวนหนึ่งแล้วกัน
“ใต้เท้า! แย่แล้วเจ้าค่ะใต้เท้า!” ชิงชงฮูหยินวิ่งกระหืดกระหอบมาจากนอกประตู “คุณหนูเล็กจะกำนัลม้าดีสองตัวนั้นให้คุณชายใหญ่กับคุณชายรอง บอกว่าไม่มอบให้ท่านแล้ว!”
เฉิงสื่อตบโต๊ะอย่างโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ “เด็กหญิงอกตัญญูนี่! หยวนอี ขี้ผึ้งน้ำมันแกะสองกระปุกนั้นล้วนมอบให้เจ้า เจ้าทาหนึ่งกระปุกโยนทิ้งหนึ่งกระปุกก็ได้ แสดงถึงความมั่งมีของพวกเรา!”
เซียวฮูหยินฟุบร่างกับโต๊ะในอาการไหล่สั่น กลั้นเสียงหัวเราะไว้โดยตลอด
ในเมื่อเฉิงสื่อกลับมาแล้ว งานฉลองหมั้นอันล่าช้าก็ได้เวลาที่จะจัดชดเชย เซียวฮูหยินรู้ถึงผลได้ผลเสียในเรื่องนี้ ย่อมไม่กล้าวางมือให้เฉิงยางดูแล นางไม่เพียงจัดซื้อสุราอาหารพืชผลด้วยตนเอง ยังยืมตัวคนครัวมาจากสกุลวั่นด้วย สำรับจึงจัดการออกมาได้อุดมสมบูรณ์ยิ่งยวด ไม่ผิดจากที่คาดไว้ ฮ่องเต้ราวกับส่งสุนัขลาดตระเวนตัวหนึ่งมาประจำอยู่หน้าประตูจวนสกุลเฉิงอย่างไรอย่างนั้น ครั้นได้ข่าวว่าสกุลเฉิงมิได้ละเลยบุตรบุญธรรมของพระองค์ ฮ่องเต้ก็ประทานสุราจินเซียงของวังหลวงมาให้ถึงสามสิบไห
ท่านพ่อเฉิงตากแดดจนดูเหมือนหัวหน้าเผ่ากินคนในทวีปแอฟริกาใช่ว่าไม่มีข้อดี เหตุใดจึงเป็นเผ่ากินคนน่ะหรือ ก็เพราะพอท่านพ่อเฉิงฉีกยิ้ม แนวฟันขาววาวดุจหิมะสองแถวนั้นชวนให้สะพรึงยิ่งยวด ส่วนข้อดีที่ว่าก็คือขณะเขาเผชิญหน้าบรรดาผู้บังคับบัญชาเก่า บริวารเก่า และสหายเก่า ต่อให้ท่านพ่อเฉิงกระอักกระอ่วนจนหน้าแดงก็มองไม่ออก สามารถพาเขยคนใหม่ไปแนะนำตัวกับญาติมิตรรอบหนึ่งได้อย่างราบรื่นไม่สะทกสะท้าน