น่าเสียดายที่ฐานะกับอำนาจของหลิงปู้อี๋ประจักษ์ชัดอยู่ตรงนั้น ประกอบกับพกพาไอหนาวเยือกแข็งของมหาสมุทรอาร์กติกติดกาย นอกจากแม่ทัพใหญ่หานที่ยังสามารถรับการคารวะสุราจากเขาได้ แขกเหรื่อที่เหลือล้วนผุดลุกผุดนั่ง หากมิใช่รีบลุกขึ้นขอบคุณกลับก็คือรีบค้อมกายทำความเคารพ ท่านพ่อเฉิงเห็นแล้วได้แต่ลอบส่ายหัวยิ้มเจื่อน
ที่ชวนอัศจรรย์ใจอยู่บ้างคือสกุลโหลวก็ส่งคนมาร่วมงานด้วย
ตลอดมาเฉิงเซ่าซางอยู่ในวังไม่รู้ชัดแจ้ง ที่แท้โหลวกับเฉิงสองสกุลหมายแสดงให้เห็นว่าไม่เคยลอบผิดใจกันเพราะการถอนหมั้น และยิ่งหมายจะรักษาไมตรีต่อกันไว้ ไม่กี่เดือนมานี้เซียวฮูหยินจึงพาเฉิงยางไปร่วมงานเลี้ยงของสกุลโหลวโดยตลอด ทำให้เฉิงยางได้รับการทาบทามเกี่ยวดองจากหลายสกุลทีเดียว
หนนี้ผู้มาเยือนคือคุณชายรองโหลวซึ่งก่อนหน้านี้ออกท่องอยู่แดนไกล หรือก็คือโหลวเปินพี่ชายร่วมอุทรคนเดียวของโหลวเหยา คุณชายรองโหลวเปินเก่งการคบค้า ลื่นไหลเข้าได้กับทุกฝ่าย ทั้งอุตส่าห์ซื้อหนึ่งเพิ่มหนึ่ง พาผู้มีเกียรติมางานเลี้ยงเป็นเพื่อนอีกคน…ถึงกับเป็นหยวนเซิ่นสหายสนิทร่วมสำนัก
หลิงปู้อี๋แววตาเย็นเยือก ยืนเอามือเดียวไพล่หลัง มองไปนิ่งๆ
หยวนเซิ่นค่อยๆ เดินทอดน่องมาถึงใต้ทางระเบียง สายตาไม่หลบไม่หลีก
สองคนสบตากันพักหนึ่ง สุดท้ายเป็นหยวนเซิ่นเอ่ยปากก่อน “ข้าตาฟางเอง เมื่อแรกในคฤหาสน์ที่ประทับชั่วคราวก็สมควรมองออกว่าท่านมีใจต่อเซ่าซางจวิน” เขารู้สึกได้ตั้งแต่ตอนนั้นว่าหลิงปู้อี๋ปฏิบัติกับเฉิงเซ่าซางผิดธรรมดาอยู่บ้าง เพียงแค้นใจที่ไม่ได้ตรองให้ลึก!
“กล่าวกันว่าคุณชายซั่นเจี้ยนได้รับการอบรมบ่มเพาะจากอาจารย์หวงฝู่อย่างลึกซึ้ง ทว่าอย่าเอาอย่างกระทั่งความคิดเรื่องคู่ครองด้วยเล่า ไม่แต่งภรรยาให้กำเนิดบุตรไปโดยดี ยามว่างรู้จักแต่ห่วงหาภรรยาของผู้อื่น” หลิงปู้อี๋แม้เงียบขรึม แต่เมื่อใดที่อ้าปากก็มีพิษร้ายแรงหาใดเปรียบ
สีหน้าหยวนเซิ่นแข็งทื่อไปวูบเดียว ไม่ทันไรก็คืนสู่ท่วงทีอันสง่างามตามปกติ “คู่ครองเป็นสวรรค์ลิขิต ข้ามิกล้ากล่าวส่งเดชหรอก ทว่า…วันหน้าข้าจะไปขับร้องลำนำที่นอกกำแพงจวนของท่านแน่นอน ท่วงทำนองแคว้นเว่ยแคว้นเจิ้งอันใด ข้าจะไล่ขับร้องไปทีละบทเพลงจนครบ” จะไม่ร้องแค่หนเดียวก็ปิดฉากอย่างหม่นหมองแบบอาจารย์เป็นอันขาด!
ลำนำท่วงทำนองแคว้นเว่ยกับแคว้นเจิ้งส่วนใหญ่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับชายหญิง ความหมายประโยคนี้ของหยวนเซิ่นก็คือ… ‘ข้าไม่สบอารมณ์ ก็จะไม่ให้ท่านสบายอารมณ์เด็ดขาด’
หลิงปู้อี๋ใช้สายตาบอกความนัย…นี่ท่านกำลังทำตัวเป็นอันธพาล
หยวนเซิ่นสนองคืนด้วยสายตา…พูดราวกับท่านไม่ใช่อาศัยความเป็นอันธพาล จึงสามารถหมั้นกับว่าที่ภรรยาคนนี้
หลิงปู้อี๋…ข้ากับนางเป็นคู่แท้ที่สวรรค์ลิขิตมาต่างหาก
หยวนเซิ่น…สวรรค์ลิขิต? เป็นโอรสสวรรค์ลิขิตมากกว่ากระมัง นึกจริงๆ สินะว่าข้าอ่านตำราจนเซ่อไปแล้ว
“คุณชายซั่นเจี้ยนยังดูตัวอยู่หรือไม่” หลิงปู้อี๋พลันถาม
หยวนเซิ่นอึ้งงันไปชั่วครู่ ด้วยรู้ความหมายของอีกฝ่าย จึงตอบด้วยสีหน้าสลด “ถึงที่สุดข้าก็ต้องแต่งงาน” ให้เกียรติกัน เข้าใจเห็นใจกัน เท่านี้ก็พอแล้ว สามีภรรยาทั่วไปในใต้หล้าล้วนเป็นเช่นนี้มิใช่หรือไร ไม่รู้ภายหน้ายังจะไปเสาะหาเฉิงเซ่าซางคนที่สองที่เจ้าคารมชวนให้ชมชอบได้จากที่ใดอีก
หลิงปู้อี๋แย้มยิ้มแล้ว พริบตานั้นประดุจต้นไม้หิมะสลัดสีเงินยวง พาให้ผู้ชมมิกล้าจับจ้องในระยะใกล้ “เช่นนั้นก็ดี ข้าขออวยพรล่วงหน้าให้คุณชายซั่นเจี้ยนได้พบวาสนารักที่ดี ยามที่ท่านมาขับร้องลำนำ ข้าจะพาภรรยาขึ้นกำแพงมาน้อมฟังแน่นอน” กล้ามา? คอยดูเถอะ จิ้งจอกน้อยแสนกลนางนั้นไม่ขว้างของลงจากกำแพงไปสิแปลก หยวนซั่นเจี้ยนนึกว่านางอารมณ์เย็นเช่นซังฮูหยินหรือไร
ระหว่างทางกลับจวน หลิงปู้อี๋เอียงร่างพิงเสาของตัวรถ ใบหน้าอันหนุ่มแน่นขาวหมดจดเจือด้วยสีแดงระเรื่อ ท้ารับสายลมให้โชยสลายอาการมึนเมา ผ่านไปไม่นานนักรถม้าก็แล่นเข้าปากตรอก องครักษ์สองแถวข้างตัวรถต่างหยุดฝีเท้า คนทั้งหมดแลเห็นบุรุษวัยกลางคนเครายาวแต่งกายเช่นบัณฑิตผู้หนึ่งยืนอยู่หน้าประตูจวนของหลิงปู้อี๋ สองพี่น้องสกุลเหลียงชิวจึงรีบลงจากม้า พยุงนายน้อยที่เมาสุรานิดๆ ลงจากรถ
หลิงปู้อี๋ยึดจับแขนของเหลียงชิวฉี่เพื่อทรงกาย เดินมุ่งเข้าสู่ด้านในพลางยิ้มกล่าว “ไฉนอาจารย์โอวหยางมายืนหน้าประตูเล่า”
โอวหยางกวนคลี่ยิ้มเดินเคียงข้างหลิงปู้อี๋ “นายน้อยแล้งน้ำใจนัก ตนเองไปร่วมงานฉลองหมั้น กลับทิ้งข้าผู้เฒ่าอยู่ในจวน รับมือการเซ้าซี้ของสกุลหวัง สุราจินเซียงนั้นข้าผู้เฒ่าน้ำลายสอมาตั้งหลายวันแล้วนะ”
เหลียงชิวเฟยเอ่ยด้วยความแปลกใจ “สกุลหวังมาอีกแล้ว? มันวันที่เท่าไรแล้วนี่”
โอวหยางกวนกล่าว “วันนี้หากมิใช่เพราะลิ้นอันคมคายของข้าผู้เฒ่า บิดากับบุตรชายสกุลหวังเป็นได้บุกไปงานฉลองหมั้นที่สกุลเฉิงแล้ว”
เหลียงชิวเฟยเบ้ปาก เผยอารมณ์เหยียดหยามต่อสกุลหวังไม่น้อย
ในลานเงียบวังเวง สี่ทิศปลอดคน หลิงปู้อี๋เดินไปคิดไป ครู่หนึ่งให้หลังจึงชะงักฝีเท้า “อาจารย์โอวหยางไปร่างคำสั่งโยกย้ายได้เลย เอาตามที่หารือกันไว้ก่อนหน้านี้ ให้จางซั่นนำทหารม้าฝ่ายซ้ายสี่กองไปสนับสนุนที่ค่ายของหวังหลง ไม่ต้องฟังคำของอีกฝ่ายทั้งหมด พลิกแพลงไปตามสถานการณ์เป็นพอ ให้หลี่ซือเลือกพลธนูสองกลุ่ม องครักษ์หน้าไม้สองหน่วย กับทหารมือดีอีกห้าร้อยนายไปฟังบัญชาของแม่ทัพเชอฉีหวังฉุน ต้องให้ความเคารพเขาหน่อยเล่า”
โอวหยางกวนประสานมือ รับคำสั่งจากไป