ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย
ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย เล่ม 4 บทที่ 86
เหลียงชิวเฟยเอ่ยด้วยความตกใจ “ข้าน้อยนึกว่านายน้อยจะไม่รับปากเสียอีก”
“อาเฟย” เหลียงชิวฉี่ตำหนิเสียงเบา น้องชายร่วมอุทรของเขาดูรูปร่างสูงใหญ่ ขี่ม้ายิงธนูช่ำชอง แต่ความจริงอายุโตกว่าว่าที่ฮูหยินของนายน้อยไม่กี่เดือนเท่านั้น ประกอบกับเขาเติบใหญ่ท่ามกลางความรักเอ็นดูของคนทั้งจวน ที่จริงแล้วในแก่นกระดูกจึงมีแต่ความไร้เดียงสา
“ทิ้งให้พวกเขาคอยเก้อมาเจ็ดแปดวันก็เพียงพอแล้ว” หลิงปู้อี๋ยกมือข้างหนึ่งนวดคลึงขมับตนเอง ท่าทางมิใช่ไม่อ่อนล้า
เหลียงชิวเฟยไม่กล้าสอดปาก ได้แต่บ่นงึมงำอย่างไม่ชอบใจ “หวังฉุนผู้นั้นเลี้ยงพวกถุงสุรากระสอบข้าว* ไว้หนึ่งโขยง ทหารที่ฝึกออกมาเทียบไม่ได้กระทั่งเจ้าหน้าที่ในที่ว่าการอำเภอ ขายขี้หน้าเสียจริง! ปราบโจรภูเขาแค่หยิบมือยังหวิดจะถูกถล่มค่ายใหญ่ ซ้ำขอให้นายน้อยช่วยเขากลบเกลื่อน อ้างว่านี่เป็นกลทัพปริศนา** อันใดนั่น ถึงได้ไม่ต้องอับอายต่อหน้าแม่ทัพทั้งหลาย เคราะห์ดีไม่ได้แต่งบุตรสาวของเขา หาไม่คนแซ่หวังไม่ยิ่งวางโตเป็นท่านพ่อตากับท่านพี่ชายหรอกหรือ…”
หลิงปู้อี๋ปรายตามองอีกฝ่ายปราดหนึ่งเรียบๆ เหลียงชิวเฟยก็หุบปากทันใด
เหลียงชิวฉี่ลอบถอนใจ สืบเท้าขึ้นหน้า เอ่ยเปลี่ยนประเด็นเสียงเบา “นายน้อย วันนี้ท่านดื่มสุรามิใช่น้อยๆ เหตุใดไม่ค้างแรมที่สกุลเฉิงสักคืนเล่าขอรับ ข้าน้อยเห็นวันนี้นายหญิงน้อยไม่ได้เผยโฉมเลย ไม่แน่กำลังคอยท่านอยู่ที่เรือนหลังก็เป็นได้”
คอยข้า? หลิงปู้อี๋ปลดกระบี่ถอดรองเท้าก้าวเข้าห้องไป ในใจลอบแค่นเสียง ฮึ จิ้งจอกน้อยร้อยเล่ห์นางนั้นเกิดใหม่อีกสิบหนก็จะไม่ทำเช่นนี้หรอก “นางบอกว่าวันพรุ่งนี้จะมีเหตุการณ์ใหญ่ ต้องพักผ่อนให้เต็มที่หนึ่งวัน ให้ข้าอย่าไปรบกวนนาง”
เหลียงชิวเฟยถอนใจกล่าว “นายหญิงน้อยก็ช่าง…เหตุใดไม่อาจทุ่มความคิดจิตใจทั้งหมดมาที่ตัวนายน้อยนะ”
หลิงปู้อี๋หลับตาลงเนิ่นนานค่อยพึมพำ “รู้จักเตรียมพร้อมด้วยตนเอง เช่นนี้ดียิ่ง”
เหลียงชิวฉี่เรียกบ่าวชายหญิงมารับใช้ผู้เป็นนาย ตนเองหิ้วคอเสื้อน้องชายพาเดินมุ่งไปเบื้องนอก ก่อนลดเสียงเอ่ย “เจ้าจะรู้อะไร เมื่อแรกฮั่วฮูหยินก็ทุ่มหัวใจทั้งดวงไปที่สกุลหลิง ปฏิบัติแบบควักหัวใจให้ แล้วผลเป็นอย่างไรเล่า อีกอย่างนะ นายน้อยนั่งตำแหน่งสูงในราชสำนัก หากภรรยาไม่รู้จักเตรียมพร้อมอย่างรอบคอบ ต้องให้นายน้อยลงมือเองทุกเรื่องหรือไรกัน”
เหลียงชิวเฟยตระหนักได้ทันใด “เป็นเช่นนี้นี่เอง พี่ชาย ไฉนท่านรู้เยอะเพียงนี้ได้”
เหลียงชิวฉี่ปล่อยคอเสื้อน้องชายร่วมอุทร ก่อนตอบสีหน้าขึงขัง “พี่มีสตรีผู้รู้ใจถึงสี่นาง เรื่องเหล่านี้ย่อมจะรู้เยอะกว่าเจ้า”
ใบหน้าเหลียงชิวเฟยพลันเกลื่อนด้วยความเคารพเทิดทูน ชื่นชมในฝีมืออันสูงส่ง
หลิงปู้อี๋นั่งบนเก้าอี้หูฉวง ได้ยินคำสนทนาของสองพี่น้องที่นอกห้องเลาๆ ชั่วขณะนั้นดุจจิตใจเขาลอยล่องออกไป ร่างนิ่งจดจ้องต้นส้มจี๊ดสีทองหนึ่งกระถางบนกรอบหน้าต่าง ใบอ่อนสีเขียวสดขับเน้นผลที่เงาวาวขนาดกระจุ๋มกระจิ๋ม
เช้าวันรุ่งขึ้นหลิงปู้อี๋เลือกรถม้าที่มีม่านล้อมงามประณีตคล่องตัวคันหนึ่ง นั่งออกไปรับคู่หมั้นที่จวนสกุลเฉิงด้วยตนเอง ภายหลังรถแล่นออกจากเมืองก็มุ่งหน้าสู่ทิศตะวันออกตลอดทาง ยามนี้ผืนฟ้าฤดูสารทแจ่มใส อากาศปลอดโปร่ง ทิวทัศน์ชนบทรายทางงดงามจนชมดูไม่หวาดไม่ไหว เดิมทีเฉิงเซ่าซางอารมณ์แช่มชื่นยิ่ง แต่น่าแค้นที่ชายหนุ่มรูปงามข้างกายนิ่งขรึมเงียบกริบ ไม่รู้มัวคิดอันใดอยู่ เฉิงเซ่าซางจึงได้แต่พูดคุยเรื่อยเปื่อยกับเหลียงชิวเฟยที่ขี่ม้าอยู่ข้างตัวรถ
“นายหญิงน้อย ท่านยังไม่รู้ ภายใต้บังคับบัญชาของแม่ทัพเชอฉีหวังฉุนนั่นขึ้นชื่อเรื่องซื้อใจคนด้วยสมบัติคนงามน้ำสุรา ต่อให้แรกรับเข้ามาอยู่ใต้บังคับบัญชาเป็นแม่ทัพที่ห้าวหาญผู้หนึ่ง ไม่กี่ปีก็จะถูกคนงามกับน้ำสุราบั่นทอนจนกระดูกอ่อนระทวย โถๆ พี่ชายแซ่จางกับหลี่ทั้งสองคนของข้าน้อยจะต้องรับเคราะห์จริงๆ เสียแล้ว” เหลียงชิวเฟยยังค้างคาใจเรื่องโยกย้ายนั้นอยู่อย่างเห็นได้ชัด
“นี่ องครักษ์เฟยกล่าวเช่นนี้ผิดแล้ว สมบัติคนงามน้ำสุรามีผู้ใดบ้างไม่รักชอบ ข้าเองก็…” เฉิงเซ่าซางเห็นสายตาของหลิงปู้อี๋กวาดมาจึงเอ่ยแก้ทันใด “ท่านลุงวั่นของข้าเองก็รักชอบยิ่ง ไม่เห็นทำให้เขารบทัพจับศึกเสียการเลย แม่ทัพหวังยังต้องมีข้อบกพร่องอื่นเป็นแน่”
“มีข้ออื่นแน่อยู่แล้วขอรับ!” เหลียงชิวเฟยมีคำบ่นอัดแน่นเต็มท้องหมายจะระบาย ทว่าขณะจะสาธยายต่อ กลับเห็นสายตาไม่เห็นพ้องของพี่ชายแท้ๆ ปรายมา หนุ่มน้อยจึงได้แต่เปลี่ยนมาเอ่ยว่า “สรุปคือหลายปีมานี้สกุลหวังก่อเรื่องยุ่งยากให้นายน้อยของพวกเราเยอะแยะเลยขอรับ”
เหลียงชิวฉี่รีบกระตุ้นม้าตรงมาชี้แจง “จะอย่างไรแม่ทัพเชอฉีก็เป็นญาติผู้ใหญ่ของรัชทายาท เห็นแก่หน้าตำหนักบูรพา ย่อมไม่อาจปล่อยให้สกุลหวังเสียหน้านัก”
“ง่ายออก ก็ให้แม่ทัพหวังเกษียณเร็วหน่อยสิ” เฉิงเซ่าซางกล่าว “ต่อจากนี้เสพสุขเงินทองไปก็พอ”
“เกษียณ? ฮ่าๆ พวกละโมบตำแหน่งอาวรณ์อำนาจอย่างสกุลหวังนั่นน่ะหรือ…” เหลียงชิวเฟยเห็นดวงตาพี่ชายถลึงโตยิ่งกว่าเก่า “สรุปคือเขาไม่ยอมลาออกหรอกขอรับ”
เฉิงเซ่าซางเอ่ยปนยิ้ม “เขาไม่สมัครใจลาออกเอง พวกเจ้าก็ช่วยให้เขาลาออกได้นี่”
“ไม่รู้ว่าภรรยาข้ามีแผนแยบคายอันใด” หลิงปู้อี๋อดไม่ได้ต้องเอ่ยปากในที่สุด
สองพี่น้องสกุลเหลียงชิวสบตาส่งยิ้มให้กัน คิดว่าเจ้านายทั้งสองจะพูดคุยกันประสาว่าที่คู่ชีวิต ต่างก็รีบกระตุ้นม้าถอยห่างออกไป
เฉิงเซ่าซางหมุนตัวมาตอบพร้อมคลี่ยิ้มจนตาหยี “ข้าได้ยินว่าเมื่อก่อนนายหญิงเหวินซิวคุมเข้ม แต่เดี๋ยวนี้แม่ทัพเชอฉีชักจะไม่ฟังคำนางแล้ว คราวก่อนท่านส่งหญิงงามไปให้เขาสองนางไม่ใช่หรือ ข้าว่านะ นี่เป็นเพราะจำนวนคนน้อยไป ฝีมือยังไม่เข้าขั้น ท่านเสาะหาหญิงงามที่อ่อนเยาว์เรี่ยวแรงดีส่งไปให้เขาอีกสักหลายๆ คนสิ ลองให้คำมั่นเป็นการลับ บอกว่าผู้ใดสามารถพัวพันให้แม่ทัพหวังลงสนามรักสม่ำเสมอ ภายหน้าผู้นั้นไปจากสกุลหวังแล้วจะได้รับรางวัลอย่างงาม เมื่อมีทรัพย์สินในมือ ต่อไปไม่ว่าจะออกเรือนหรือตั้งตนเป็นเจ้าบ้านหญิงล้วนแต่มีทุนรอนเหลือเฟือ สรุปคือขอแค่หญิงงามทุกคนร่วมแรงร่วมใจ จะต้องรั้งแม่ทัพหวังอยู่บนเตียงทั้งทิวาราตรีได้แน่นอน”
สีผิวของหลิงปู้อี๋ดูคล้ายขาวขึ้นอีกหลายส่วน เส้นเลือดสีเขียวบนลำคอโปนขึ้น สุ้มเสียงราวเค้นออกจากไรฟัน “วาจาเยี่ยงนี้…ใช่สิ่งที่แม่นางน้อยยังไม่ออกเรือนเช่นเจ้าจะพูดได้หรือ เหตุใดเจ้าไม่แนะให้ข้าส่งคนไปวางยาสลอดใส่หวังฉุนเสียเลยเล่า!”
ควรให้คนแซ่หยวนได้มาฟังจริงๆ ดูซิว่าคุณชายซั่นเจี้ยนจะรับไหวหรือไม่ หลิงปู้อี๋พลันบังเกิดความคิดประหลาด…หากโหลวเหยามาได้ยินข้อเสนอนี้ มีหรือยังจะเห็นดีเห็นงาม ปรบมือชื่นชมเต็มที่แบบไม่คำนึงถึงสิ่งใดอีก เขาจะต้องทำไม่ได้แน่ๆ
เฉิงเซ่าซางยิ้มแย้ง “เหตุใดไม่อาจพูดเล่า นี่เป็นแผนอันสุจริตและแยบคายเชียวนะ หญิงงามวางอยู่ตรงนั้น หากใจเขาไม่หวั่นไหวเองก็ย่อมปลอดภัยไร้เรื่องราว ส่วนสลอด…จะอย่างไรก็ตกเป็นขี้ปากของผู้อื่นได้ เฮ้อ เพียงไม่รู้ว่าความชมชอบของแม่ทัพหวังเป็นแบบใด หากเขารักสตรีมีอายุหน่อยก็ดีน่ะสิ ดังคำว่าวัยสามสิบดุจสุนัขป่า วัยสี่สิบดั่งพยัคฆา ถึงตอนนั้นเฉกพยัคฆ์สุนัขป่าเขย่าพสุธาขย่มภูผา รับรองว่าทำให้เขาลาป่วยก่อนวันขึ้นปีใหม่ได้เป็นแน่แท้”
“ถ้อยคำเหลวไหลเหล่านี้ เจ้าไปฟังมาจากที่ใดกัน!”
“ท่านนึกว่าสตรีออกเรือนแล้วในชนบท ยามว่างอาบใต้แสงแดดจะพูดคุยเรื่องใดกันเล่า”
“แล้วเจ้าก็อุตส่าห์อยู่ฟังทั้งหมด?” ความจริงวาจาสัปดนในค่ายทหารใช่ว่ามีน้อย แต่หลิงปู้อี๋ควบคุมใจตนเองให้วางเฉย เลี่ยงที่จะไม่ฟังมาโดยตลอด ครานี้ดีแท้ วิชาที่เขากระโดดข้าม คู่หมั้นของเขาล้วนเรียนชดเชยจนครบถ้วน
“ดังคำว่า ‘ใฝ่รู้มิหน่าย ศึกษามิย่อหย่อน’ อย่างไรเล่า” เฉิงเซ่าซางลูบจอนผมอย่างไม่อินังขังขอบสักนิด “ข่งจื่อยังกล่าวไว้เลย… ‘บุรุษสตรีครองเรือน คือเรื่องสำคัญในชีวิตคน’ ”
“นี่เป็นคำกล่าวของเมิ่งจื่อต่างหาก”
“โธ่ ก็ใกล้เคียงกันล่ะน่า ไฉนท่านเหมือนฝ่าบาทไม่มีผิด แค่คำเดียวก็จะต้องแคะออกมา เป็นคนต้อง-ผ่อน! ปรน! ข่งจื่อว่าไว้มิใช่หรือ คุณธรรมอันยิ่งใหญ่ที่สุดของวิญญูชนคือเป็นมิตรต่อผู้อื่น ท่านไม่เคยฟังมาหรือไร”
“นี่ก็เป็นคำกล่าวของเมิ่งจื่อเช่นกัน”
เฉิงเซ่าซางขมวดคิ้วบ่น “เหตุใดอะไรๆ ก็เป็นเมิ่งจื่อกล่าว ข่งจื่อมัวไปทำอันใดอยู่นะ”
มุมปากของหลิงปู้อี๋กระดกขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ “เขามัวแต่พูดว่า ‘มีเพียงสตรีกับคนถ่อยที่อยู่ร่วมด้วยยาก’* น่ะสิ!”
เฉิงเซ่าซางขุ่นเคืองแล้ว “ข้าไม่ดีเยี่ยงนี้ ท่านยังจะแต่งข้าทำอะไร รีบๆ ไปถอนหมั้นเสียสิ!”
“ไม่ถอนเด็ดขาด!” หลิงปู้อี๋มีคุณธรรมเปี่ยมล้น “มารน้อยตัวร้ายพูดไม่ยั้งคิดเช่นเจ้า หากข้าไม่คุมไว้ให้ดี น่ากลัวว่าจะเป็นภัยต่อสรรพชีวิต”
“ท่าน…” เฉิงเซ่าซางจนคำพูดอย่างหาได้ยาก ส่งเสียงดังจึบคำเดียวก็ออกแรงตีไหล่เขาอย่างหัวเสีย
ในที่สุดหลิงปู้อี๋ก็ระเบิดหัวเราะเสียงก้องอย่างสุดจะข่มกลั้น เสียงหัวเราะอันกังวานเบิกบานนี้ถ่ายทอดตรงไปถึงหน่วยองครักษ์ทั้งสองฟาก สองพี่น้องสกุลเหลียงชิวสบตากันแวบหนึ่ง ในหัวใจต่างเอ่อท้นด้วยความยินดีปรีดา เหลียงชิวฉี่คิดว่า…ยังคงเป็นแม่นางน้อยสกุลเฉิงที่มีฝีมือ อารมณ์อึมครึมของนายน้อยนับแต่ออกจากจวนมาเช้านี้สลายไปเสียที
“เจ้ามีวาจาใดจงเอ่ยกับข้า อย่าเอาแต่พูดคุยกับองครักษ์ นี่กลางวันฟ้าแจ้งนะ” หลิงปู้อี๋จดจ้องเหลียงชิวเฟยที่ขี่ม้าอยู่เบื้องหน้า หนุ่มน้อยคึกคัก ช่างคุยขี้เล่น หากตนกับเหลียงชิวเฟยและเฉิงเซ่าซางสามคนเดินไปพร้อมกันบนถนน เก้าในสิบคนจะต้องนึกว่านางกับเหลียงชิวเฟยต่างหากที่เป็นคู่กัน
“ได้ เช่นนั้นข้าค่อยคุยกับพวกเขาในยาม ‘ค่ำคืน’ แทน” เฉิงเซ่าซางโต้กลับอย่างไหลลื่นยิ่ง
หลิงปู้อี๋เม้มปากนิดๆ แล้วพลันประชิดเข้าหา ทำท่าหมายจะกัดคน เฉิงเซ่าซางก็หัวเราะคิกคัก ใช้ฝ่ามือป้องขวางปากของเขาไว้ หลิงปู้อี๋รู้สึกว่าท่าทางเกเรของนางนี้น่ารักยิ่งยวด จึงประทับจุมพิตบนใจกลางฝ่ามืออันนุ่มละมุนของนางหนึ่งหน ก่อนรุกฉกฉวยแก้มชมพูระเรื่อของนางอย่างแสนฉับไวอีกหนึ่งคำ
ดวงหน้าเฉิงเซ่าซางแดงซ่านในพริบตา สันจมูกที่โด่งชวนมองของชายหนุ่มแทบจรดถูกวงหน้านางแล้ว ลมหายใจของเขาทั้งหนักหน่วงทั้งร้อนผ่าว เมื่อครู่นางเพียงตีฝีปากไปอย่างนั้นเอง ยามนี้จึงรีบดีดร่างผละห่างราวกุ้งที่ถูกลวกตัวหนึ่ง ขดซุกเข้ามุมแล้วพูดตะกุกตะกัก “นี่…นี่กลางวันฟ้าแจ้งอยู่นะ”
สายตาขององครักษ์ทั้งสองฟากล้วนมองตรงไปเบื้องหน้าอย่างแสนจดจ่อ ไม่มีสักคนมองเข้าไปในตัวรถซึ่งล้อมม่านโปร่งทั้งสี่ด้าน
“ท่านนี่นะ เช้านี้ตั้งแต่ออกมาก็หน้าบูดอารมณ์เสีย เหมือนทวงหนี้ไม่สำเร็จ ข้าจะไปกล้าพูดคุยกับท่านได้อย่างไร” เฉิงเซ่าซางรีบเบี่ยงเบนประเด็น
อารมณ์หวามไหวบนดวงหน้าของหลิงปู้อี๋ยังคงไม่จางหาย ทว่าที่นี่เวลานี้เขาไม่อาจจะกระทำอันใดได้จริงๆ ชายหนุ่มจึงจำใจเก็บซี่ฟันขาวหยวก ขึงตาใส่นางหนึ่งหน แล้วจับมือเล็กข้างหนึ่งมาบีบคลึงในฝ่ามือของตน ชั่วครู่ค่อยเอ่ยคำ “รอจนเจ้าได้พบท่านแม่ข้า หากขากลับยังร่าเริงเช่นนี้ได้อยู่ ข้าถึงจะนับถือเจ้า”
เฉิงเซ่าซางไม่ยี่หระโดยสิ้นเชิง ก็แค่แม่สามีที่ร้ายกาจ ข้าเคยเห็นในตำบลอวี๋มาไม่รู้ตั้งเท่าไร ตบตีด่าทอเอย ทะเลาะวิวาทเอย หรือแม้แต่ถือมีดปังตอจะเอาชีวิตกันก็ยังมี นั่นแล้วอย่างไรเล่า ข้าเองก็ไม่ใช่พวกกินผักหญ้าเสียหน่อย คิดมาถึงตรงนี้นางพลันกระเถิบเข้าใกล้ เอ่ยข้อเสนอกับคู่หมั้นอย่างประจบประแจง “นับถือหรือไม่นับถือมีคุณค่าอันใดเล่า หากขากลับข้ายังมีสีหน้าเป็นปกติ ท่านขอวันหยุดกับฮองเฮาเพิ่มให้ข้าอีกวันนะ”
“ยังจะขอวันหยุด? อยากนอนอีกหนึ่งวันสิท่า” หลิงปู้อี๋แค่นเสียงฮึ “อีกอย่างนะ เดิมพันนี้ไม่ถูกต้อง เจ้าชนะ ข้าต้องขอวันหยุดให้เจ้า แต่หากเจ้าแพ้เล่า จะเอาสิ่งใดชดใช้ให้ข้า”
แลเห็นสีนัยน์ตาของเขาลุ่มลึกฝากแฝงแรงปรารถนา ลูกกระเดือกบนลำคอขาวระหงเคลื่อนขยับตามจังหวะพูดจา เฉิงเซ่าซางไม่แคล้วปากคอแห้งผาก ไม่กล้ามองเขาต่อไป…เกี้ยวพานั้นได้ พลีกายชดใช้นั้นไม่ขอยอม