ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย
ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย เล่ม 4 บทที่ 86
ตอนนี้เองสายตานางชำเลืองไปเบื้องหน้าไม่ไกลนัก แล้วรีบชี้มือร้องบอกราวพบเจอกองหนุน “ท่านดูสิว่านั่นใคร”
คนทั้งหมดมองตามไป แลเห็นคนผู้นั้นมีผมเผ้าหนวดเคราสีดอกเลา สีหน้าแดงเปล่งปลั่ง แต่งกายเช่นคหบดีท้องถิ่น ถึงกับเป็นหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่า
ข้างกายท่านอ๋องผู้เฒ่ามีองครักษ์ผู้ติดตามเพียงไม่กี่คน กำลังตามหลังขบวนรับเจ้าสาวที่ดีดสีตีเป่าอย่างครึกครื้น ทางหนึ่งท่านอ๋องผู้เฒ่าสนทนาสรวลเสกับผู้เฒ่าชนบท อีกทางหนึ่งเหลือบมองเจ้าสาวซึ่งนั่งอยู่ในรถเทียมวัวนั้นไม่วางตา ออกอาการของตาเฒ่ารุ่มร่ามอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย
หลิงปู้อี๋จำต้องละเว้นเด็กสาวไปก่อน เขาหลับตาถอนหายใจ แล้วสั่งให้คนบังคับรถม้าเข้าไปใกล้
“ท่านอ๋อง ท่านหนีออกมาจากอารามซานไฉอีกแล้ว” หลิงปู้อี๋ลงจากรถม้า ก่อนช้อนประคองเฉิงเซ่าซางลงมาช้าๆ
“หนีไม่หนีอันใดกัน ข้าไม่ใช่นักโทษสักหน่อย!” หรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าคล้ายวางหน้าไม่สนิทอยู่บ้าง เหลียวซ้ายแลขวาพบว่ามีแต่สามีภรรยาที่ยังไม่เข้าพิธีคู่นี้ เขาถึงค่อยเอ่ยอย่างวางใจ “วันนี้ชานเมืองมีงานแต่ง ข้าจึงมาร่วมครื้นเครงด้วย จะว่าไปการแต่งงานนี้ข้ามีคุณความชอบเป็นพ่อสื่อสนเข็มสอดด้ายเชียวนะ”
เฉิงเซ่าซางยืนมั่นคงแล้วคลี่ยิ้มคารวะ “ท่านปู่เซียนเจ้าคะ ท่านชอบความครื้นเครงเช่นนี้จะออกบวชบำเพ็ญพรตอันใดกัน โลกแห่งปุถุชนสนุกสนานเพียงใด ท่านตัดใจได้หรือ”
“เฮ้อ เรื่องมันยาวน่ะ เรื่องมันยาว” ท่านอ๋องผู้เฒ่าลูบเคราส่ายหัว มองพิจารณารูปร่างเด็กสาวขึ้นลงก่อนอมยิ้มชม “อืม แม่นางน้อยสกุลเฉิงรูปโฉมชวนมองยิ่งขึ้นแล้ว”
หลิงปู้อี๋เห็นเช่นนี้ก็พลันเอ่ยกับเฉิงเซ่าซาง “ภรรยาข้า เจ้ายังไม่รู้อะไร ท่านอ๋องผู้เฒ่าชอบความครื้นเครงเสียที่ใด เขาชอบงานแต่งต่างหากเล่า ตั้งแต่เมื่อก่อนเขาก็ชอบดูผู้อื่นแต่งงาน จัดแจงให้ผู้อื่นแต่งงาน จากนั้น…”
“จากนั้นยังแต่งงานแทนผู้อื่นด้วย” เฉิงเซ่าซางจอมขี้แกล้งช่วยต่อประโยคนี้จนจบ พาให้หลิงปู้อี๋กลั้นหัวเราะไม่ไหว เปล่งเสียงหัวเราะร่วนออกมา
ท่านอ๋องผู้เฒ่าถูกทำให้ตกใจจนหน้าถอดสี โบกมือเป็นพัลวัน “พูดอะไรกันน่ะ พูดอะไรกัน! พวกเจ้าสองคนไม่หัดอยู่ในร่องในรอย เป็นสุนัขป่าโหดจับคู่พยัคฆ์เหี้ยมแท้ๆ ล้วนไม่ใช่คนดี! เมื่อแรกเป็นข้านะที่ไปสู่ขอและส่งของหมั้นถึงจวนสกุลเฉิง พวกเจ้าสองคนถึงกับถีบหัวเรือส่ง!” ไม่ทันขาดคำเขาก็ฉุนกึกสะบัดแขนเสื้อหมายจากไป เฉิงเซ่าซางรีบเดินขึ้นหน้าไปยุดไว้ กล่าวขออภัยเสียงรัว เขาค่อยหยุดฝีเท้าอย่างโกรธกรุ่น
“ดูจากทิศทางขบวนรถของพวกเจ้า จะไปเยี่ยมฮั่วจวินหวากันกระมัง” ท่านอ๋องผู้เฒ่าพลันหดหู่ “เฮ้อ เมื่อแรกเป็นแม่นางน้อยที่เก่งกาจและชอบเอาชนะถึงเพียงใด บัดนี้กลับเป็นเยี่ยงนี้ไปเสียแล้ว หากฮั่วชงยังอยู่ ไม่รู้จะปวดใจเพียงใด นางดวงไม่ดีเอาเสียเลย บิดามารดาด่วนล่วงลับ ซ้ำร้ายพี่ชายยังมาจากไปก่อนอีก เฮ้อ…”
หลิงปู้อี๋ไม่หัวเราะแล้ว เฉิงเซ่าซางเองก็ไม่รู้ว่าควรพูดอันใดดี จึงได้แต่ก้มหน้าฟัง
“พวกเจ้าไปวันนี้ประจวบเหมาะยิ่ง เมื่อครู่ข้าเห็นชุยโย่วผ่านไปทางถนนสายนี้เช่นกัน บรรทุกของบำรุงกับต่วนแพรไปด้วยหนึ่งคันรถ เขามีน้ำใจแท้ๆ แวะไปเยี่ยมเป็นประจำ เฮ้อ เมื่อแรกฮั่วจวินหวาแต่งให้เขาเสียก็ดี เขาชอบนางมาตั้งแต่เล็ก แต่งเข้าสกุลชุยแล้วมีหรือจะไม่เทิดทูนนางเยี่ยงบรรพชน เฮ้อ ล้วนเป็นดวงชะตา เป็นดวงชะตาทั้งสิ้น…” ท่านอ๋องผู้เฒ่าสั่นศีรษะ ไม่อาจกล่าวต่อไปอีก
ภายหลังแยกกับหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าแล้วออกเดินทางต่อ หลิงปู้อี๋ที่อยู่ในรถนั่งตัวตรงเงียบขรึม คราวนี้เฉิงเซ่าซางไม่กล้าหยอกเย้าเขาแล้ว นางลูบมือเขาอย่างระมัดระวัง กลับถูกเขาพลิกฝ่ามือมาบีบกุมมือนางไว้แน่น
เห็นหลังมือที่ขาวหมดจดของเขาปรากฏเส้นเลือดสีเขียวโปนเล็กน้อย เฉิงเซ่าซางเจ็บมือนิดๆ ทว่ายังคงข่มกลั้นไว้ไม่พูดออกมา
เรือนที่ฮั่วจวินหวาพักอาศัยตั้งอยู่ในป่าผืนหนึ่งซึ่งมีดอกซิ่ง* โปรยปราย ที่นี่อิงภูเขาชิดสายน้ำ เบื้องหน้ามีลำธาร เบื้องหลังมีหว่างเขา ถัดลงมาเป็นหมู่บ้านซึ่งอยู่ในพื้นที่ศักดินาของหลิงปู้อี๋ ยามนี้หน้าประตูเรือนมีรถม้าขนาดมหึมาจอดอยู่คันหนึ่ง บ่าวชายหญิงเจ็ดแปดคนกำลังขนย้ายสิ่งของบนรถ แล้วทยอยยกเข้าสู่เรือนชั้นใน
ครั้นเห็นหลิงปู้อี๋ช้อนประคองเฉิงเซ่าซางลงจากรถม้า พวกเขาต่างพากันค้อมเอวคำนับ กล่าวอย่างนบนอบ “คุณชายมาแล้ว”
หลิงปู้อี๋ผงกศีรษะรับ จูงพาเฉิงเซ่าซางเดินมุ่งสู่เรือนชั้นในไปเพียงไม่กี่สิบก้าว หญิงสูงวัยหน้าบากผู้หนึ่งก็เดินมาต้อนรับ ค้อมกายคารวะ
“อาเอ่า ชุยโหวเล่า” หลิงปู้อี๋ถาม
“เรียนคุณชาย ชุยโหวอยู่ที่โถงชั้นใน กำลังสนทนากับนายหญิงเจ้าค่ะ” อาเอ่าเงยใบหน้าซึ่งเกลื่อนด้วยรอยแผลน่ากลัวขึ้นมอง เฉิงเซ่าซางก็ข่มใจไว้มิให้หวาดผวา
อาเอ่ามองไปทางเฉิงเซ่าซาง ก่อนเอ่ยด้วยถ้อยคำอ่อนโยน “นี่คือเซ่าซางจวินกระมังเจ้าคะ ชวนมองจริงเชียว” เห็นยามคารวะตอบ กิริยาของเฉิงเซ่าซางเหมาะเจาะเข้าที รอยยิ้มของหญิงสูงวัยก็ยิ่งเข้มข้น “วันนี้นายหญิงอารมณ์ดียิ่ง ตอนเช้ายังร้องบอกว่าจะไปเก็บผลซิ่งในป่า”
หลิงปู้อี๋คลี่ยิ้มน้อยๆ ก้มหน้าบอกเด็กสาว “อาเอ่าเป็นฟู่หมู่ของท่านแม่ นางไม่มีแซ่ วัยเด็กถูกท่านยายข้าเก็บมาเป็นบ่าว ประเดี๋ยวเข้าไปแล้ว ข้าพูดอันใด เจ้าก็พูดตามนั้น อย่าได้เอ่ยเกินเป็นอันขาด”
เฉิงเซ่าซางรีบพยักหน้ารับ
สามคนถอดรองเท้า กำลังจะก้าวเข้าสู่โถงชั้นใน พอดีตอนนี้เสียงอันแสนพิกลของสตรีผู้หนึ่งดังออกมาจากด้านในเสียก่อน
“…ข้าเคยบอกท่านตั้งกี่หนแล้วว่าไม่ต้องมาอีก ข้าจะไม่แต่งกับท่าน! ขืนท่านยังมา ข้าจะให้พี่ชายใช้ไม้พลองฟาดท่านออกไป!”
ฟังจากเสียงน่าจะเป็นสตรีวัยกลางคน ทว่าคำพูดกลับเหมือนยังเป็นแม่นางน้อย
จากนั้นเป็นเสียงบุรุษวัยกลางคนเอ่ยปนประจบ “อย่าๆ อย่าเรียกพี่ชายเจ้ามาเลย! แค่กๆ ข้าไม่ได้มาตามตื๊อเจ้า แค่มาเยี่ยมเยียนเท่านั้น หนนี้ข้าได้ผ้าต่วนแพรสีสดสวยมาสองพับ ให้เจ้าตัดชุดได้พอดี!”
หลิงปู้อี๋ชะงักฝีเท้าเล็กน้อย ฝ่ามือที่เกาะกุมมือเฉิงเซ่าซางอยู่กระชับเข้าหากันแน่นขึ้น ก่อนย่างฝีเท้าก้าวใหญ่จูงพานางเข้าไปอย่างแน่วแน่ เฉิงเซ่าซางเดินเซตามเข้าไป แล้วถูกจูงไปหมอบคำนับพร้อมกัน
“คุณหนู ผู้เยาว์คารวะท่านขอรับ” หลิงปู้อี๋จรดหน้าผากกับพื้นอย่างนอบน้อม
เฉิงเซ่าซางทำเลียนอย่างเขา ก่อนพูดตามว่า “คุณหนู ผู้เยาว์คารวะท่านเจ้าค่ะ” เอ๋? คุณหนู? เหตุใดไม่เรียกว่า ‘ท่านแม่’ เล่า
เด็กสาวแอบมองผ่านวงแขนที่ยกขึ้น แลเห็นกลางโถงมีสตรีวัยกลางคนรูปโฉมละม้ายหลิงปู้อี๋นั่งอยู่ผู้หนึ่ง หากไม่นับรอยหงุดหงิดที่ฉาบเต็มใบหน้า ความงามของดวงหน้านี้ถึงกับไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าฮองเฮาและเยวี่ยเฟยเลย
ผู้ที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับนางคือชุยโย่วบุรุษวัยกลางคนร่างผอมเล็ก รูปโฉมไม่ค่อยผ่าเผย ปากแหลมแก้มตอบ แขนขาเรียวยาว สมกับชื่อเล่น ‘อาหยวน’ ที่มีความหมายว่า ‘เจ้าลิง’
ฮั่วจวินหวานั่งวางท่าอยู่ตรงกลาง มองมาอย่างเหยียดหยามขณะเอ่ยเสียงหวานใส “อาหยวน ท่านดู เมื่อครู่อาเอ่าเพิ่งเอ่ยถึงพวกเขา นี่เป็นหลานชายในบ้านญาติผู้พี่ของท่านพ่อข้า บ้านพวกเขาทางนั้นประสบภัย อยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว จึงมาขอพึ่งพิงพี่ชายข้า”
ดูเหมือนชุยโย่วมิใช่เจอเหตุการณ์นี้เป็นหนแรก จึงทำเพียงฝืนยิ้มผงกศีรษะ
หลิงปู้อี๋พินิจมารดาอย่างละเอียดพลางเอ่ยเสียงนุ่มนวล “วันนี้สีหน้าคุณหนูดูดียิ่ง หลายวันก่อนมีลมหนาวพัดมาระลอกหนึ่ง ท่านยังคงต้องกินเนื้อแพะน้ำข้นต่อนะขอรับ”
คิ้วใบหลิวของฮั่วจวินหวาชี้ตั้ง ตบโต๊ะกล่าว “เจ้ายุ่งเรื่องตนเองให้ดีก่อนเถอะ พวกมากินอยู่เปล่าๆ ถึงคราวให้เจ้าชี้มือวาดเท้าใส่ข้าตั้งแต่เมื่อไร! หึๆ วันนี้ยังพาภรรยาเจ้ามาช่วยกันขอเงินอีก ข้าจะบอกให้ ทุกเรื่องจงหยุดแต่พองาม อย่าได้ละโมบไม่สิ้นสุด พี่ชายข้าอารมณ์เย็น แต่ข้าไม่ปล่อยปละพวกขอกินขอดื่มอย่างพวกเจ้าหรอกนะ”
นี่เป็นข่าวพิสดารของใต้หล้าโดยแท้ นับแต่เฉิงเซ่าซางรู้จักกับหลิงปู้อี๋ อย่าว่าแต่สร้างความลำบากเลย แม้กระทั่งชักสีหน้าให้เขาดูก็ไม่มีสักกี่คนที่กล้าทำ วันนี้เขากลับถูกประณามอย่างรุนแรงโดยไร้สาเหตุหนึ่งยกเยี่ยงนี้
เพียงแต่…ดูเหมือนเขาจะคุ้นชินแล้ว สีหน้าจึงไม่แปรเปลี่ยนแม้สักนิด
“เอาล่ะๆ นี่ก็เป็นเพราะหลานชายห่วงใยเจ้านะ” ชุยโย่วรีบมาไกล่เกลี่ย
ฮั่วจวินหวาหัน ‘ปากกระบอกลูกดอก’ ไปยิงด่ากราดเสียงดัง “ใครให้ท่านมาจุ้นจ้าน หลานชายของข้า ท่านมาเรียกว่าหลานทำอันใด พูดเอาเปรียบข้าหรือ”
อาเอ่ามานั่งข้างกายนายหญิงของตนแล้วพูดเกลี้ยกล่อม “มิใช่ๆ จะเป็นไปได้อย่างไรเจ้าคะ คุณชายสกุลชุยเรียกขานเป็นพี่เป็นน้องกับนายท่าน หลานของพวกท่านสองพี่น้อง เขาย่อมเรียกว่าหลานเช่นเดียวกัน”
ฮั่วจวินหวาค่อยเก็บอารมณ์ร้ายไปอย่างไม่เต็มใจ เพียงแค่นเสียงฮึๆ สองหน ไม่ด่าทอผู้คนอีก
ชุยโย่วฉวยจังหวะนี้รีบให้บ่าวประคองผ้าต่วนแพรสีละลานตาสองพับเข้ามาในโถง จากนั้นเป็นผู้คลี่กางให้เทพธิดาของเขาชมดู
ฮั่วจวินหวาใช้สายตาจับผิดกวาดมองสองสามที ค่อยทำเป็นพูดอย่างระอา “ยังนับว่าไม่ขัดตา เอาเถิด อาเอ่ารับมาแล้วกัน ข้าเห็นแก่หน้าอาหยวนท่านหรอกนะ อย่าได้นึกว่าข้าขาดสิ่งนี้เชียว พี่ชายข้าไม่มีสิ่งใดบ้าง อาหยวน ท่านว่าคราวนี้ข้าตัดชุดแบบใดดีเล่า” นางรับผ้าต่วนแพรจากมืออาเอ่า ทาบบนร่างตนเองแล้วผลิยิ้มราวเด็กสาววัยสิบกว่าปี
ชุยโย่วยิ้มปริ่มอย่างยินดีเป็นล้นพ้น “เจ้าน่ามองมาแต่เล็กแล้ว สวมอันใดล้วนเป็นอันดับหนึ่ง!”
ฮั่วจวินหวาถูกเยินยอจนจิตใจปลอดโปร่งโล่งสบาย ยิ้มหวานด้วยความกระหยิ่มได้ใจ “แน่นอนอยู่แล้ว ยังต้องให้ท่านพูดหรือ! ทั้งตำบลไปจนถึงทั้งอำเภอ หากข้าเป็นที่สอง ดูซิใครกล้าอ้างตนเป็นที่หนึ่ง!”
ครั้นอารมณ์กระหยิ่มได้ใจล่วงผ่าน สีหน้านางก็พลันหมองเศร้า “แต่ว่า…ในเมื่อข้าน่ามองเช่นนี้ เหตุใดพี่ชายสกุลเหวินไม่ชมชอบข้าเล่า ทั้งที่เขาสนิทกับพี่ชายข้าถึงเพียงนั้น กลับเฉยเมยต่อข้า ตอนเด็กเขายังให้ข้าขี่คอขึ้นต้นไม้เลย ทว่าต่อมากลับไม่ยอมไยดีข้าอีก นี่เป็นเพราะเหตุใดกันแน่”
“ฝ่า…ฝ่า…” ใบหน้าชุยโย่วฉีดซ่านไปด้วยสีแดงแล้ว ทว่ายังคงไม่กล้าเรียก ‘ฝ่าบาท’ ออกมาจนครบคำ เขาแอบชำเลืองหลิงปู้อี๋แวบหนึ่ง ค่อยเอ่ยเสียงเบา “พวกเจ้าอายุห่างกันตั้งหลายปี เขาเห็นเจ้าเป็นน้องสาวน่ะสิ”
ไม่จำเป็นต้องมีผู้อธิบาย เฉิงเซ่าซางฟังมาถึงตรงนี้ ในใจล้วนกระจ่างแจ้งแล้ว นางอดไม่ได้ต้องหันไปมองหลิงปู้อี๋อย่างหวั่นใจ
ชายหนุ่มข้างกายนางหลุบสองตาลงมองพื้นเบื้องหน้า ร่างนิ่งไม่ไหวติง
“ข้ารู้แล้ว!”
ฮั่วจวินหวาร้องโพล่งออกมาอย่างดุดัน ดวงหน้าบิดเบี้ยวด้วยความโกรธเกรี้ยว สองมือดึงทึ้งผ้าต่วนแพรราวคลุ้มคลั่ง “ต้องเป็นเยวี่ยเหิงหญิงต่ำช้านั่น วันทั้งวันทาแป้งแต้มชาดยั่วยวนบุรุษ! แข่งกับข้าไปเสียทุกอย่าง ไม่เพียงชิงดีชิงเด่นกับข้ามาตลอด ยังทำให้พี่ชายสกุลเหวินชิงชังข้า ห่างเหินข้าด้วย! ข้าจะไม่ละเว้นนางเด็ดขาด รอก่อนเถอะ คอยดูว่าข้าจะจัดการนางอย่างไร! ข้าจะให้หญิงแพศยานั่นชื่อเสียงย่อยยับ ไม่มีหน้าพบเจอผู้คน…” ครั้นก่นด่าสาปแช่งมาถึงตอนท้าย เสียงของสตรีวัยกลางคนถึงกับปนสะอื้นแบบเด็กน้อย
เยวี่ยเฟยในปัจจุบันมิใช่บุตรีตระกูลใหญ่ที่อยู่อำเภอติดกันคนเดิมผู้นั้นแล้ว แม้จะสั่งให้บ่าวในโถงออกไปก่อน ก็ไม่อาจด่าทอลบหลู่เยี่ยงนี้ ชุยโย่วร้อนรนกระวนกระวาย จึงรีบเอ่ยยับยั้ง “นี่ๆ ใต้หล้าใช่ว่ามีแต่ฝ่า…ฝ่า…บุรุษผู้เดียวนั้นสักหน่อย เจ้ายังออกเรือนกับผู้อื่นได้นะ!” ทันทีที่วาจานี้หลุดออกจากปาก เขาก็รู้ว่าแย่แล้ว สายตามองไปทางสตรีวัยกลางคนอย่างเคร่งเครียด
ไม่ผิดจากที่คิดไว้ สีหน้าฮั่วจวินหวาตะลึงวูบ ก่อนเอ่ยเสียงนุ่มเบา “…มีอยู่ผู้หนึ่ง รูปโฉมยังนับได้ว่าเข้าตา บ้านนั้นแซ่หลิง อพยพมาจากต่างตำบลเพื่อลี้ภัย น่าเสียดายยากไร้ไปสักหน่อย ครอบครัวมีแต่ผู้เฒ่าผู้เยาว์ อัตคัดขัดสน…”
ใบหน้านางฉาบด้วยความเอียงอาย นิ้วมือขยุ้มผ้าต่วนแพรพับนั้นในอาการกระมิดกระเมี้ยน ก่อนจะพลันเงยหน้าขึ้นอย่างทระนงถือดี “แต่ไม่เป็นไรหรอก พี่ชายข้ามีคนและมีเงิน ให้พี่ชายข้าช่วยสนับสนุนเขาก็ได้ ขอเพียงมีข้าอยู่ สกุลหลิงย่อมจะค่อยๆ รุ่งเรืองขึ้นมา!”
รุ่งเรืองน่ะรุ่งเรืองอยู่หรอก ทว่าตอนหลังไม่เหลือความเกี่ยวข้องใดกับท่านแล้วน่ะสิ…เฉิงเซ่าซางแอบเหน็บแนมในใจ