ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย
ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย เล่ม 4 บทที่ 87
บทที่ 87
หลิงปู้อี๋เห็นคู่หมั้นไม่กระปรี้กระเปร่า จึงส่งนางถึงจวนแล้วปลีกตัวกลับจวนตนเอง ก่อนจากเห็นเด็กสาวคอตกเงื่องหงอย จึงกำชับเสียงนุ่มนวลให้นางพักผ่อนอีกวัน เขาจะเข้าวังไปลาหยุดแทนนางเอง ใครจะรู้เขาเพิ่งคล้อยหลังจากไป เฉิงเซ่าซางก็พลันวิ่งฉิวไปโถงเก้าอาชาด้วยท่วงท่าดุจกระต่ายเผ่น ที่แท้นางเพียงแต่ไม่มีอารมณ์คึกคักต่อคู่แม่ลูกผู้สูญเสีย ทว่าอารมณ์อยากซุบซิบกับบิดามารดาของตนนั้นพุ่งกระฉูดเป็นประวัติการณ์
“หลิง เอ่อไม่สิ ฮั่วฮูหยิน คือว่า…ฟั่นเฟือนแล้ว?” ตลอดสองวันนี้ท่านพ่อเฉิงอยู่บ้านบำรุงผิวไหม้แดด ครั้นฟังคำบอกเล่านี้จบ เนื้อตาขาวของเขาถึงกับดูขาวยิ่งกว่าเดิม “เรื่องนี้คงจะมีคนรู้อยู่แค่ไม่กี่คนกระมัง”
เซียวฮูหยินผงกศีรษะกล่าว “อืม อย่างน้อยแม่ก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน อย่างว่านะ ไม่ใช่เรื่องเชิดหน้าชูตาอันใดเสียหน่อย คนที่หยิ่งทะนงเช่นจื่อเซิ่งกลับมีมารดาฟั่นเฟือนผู้หนึ่ง พูดออกไปแล้วดูน่าฟังหรือ เพียงแต่…ตอนนี้แม่กลับเข้าใจบางอย่างเสียที”
“ท่านแม่เข้าใจอันใดหรือเจ้าคะ” เฉิงเซ่าซางถาม หัวหน้าเซียวมักมีความคิดเห็นที่ไม่สามัญ นางแสนจะเลื่อมใสเสมอมา
“สกุลฮั่วทั้งตระกูลพลีชีพเพื่อแคว้น เมื่อแรกเรื่องฮั่วฮูหยินจะหย่าร้าง ฝ่าบาทกลับทรงมิได้ช่วยจนถึงที่สุด”
สองพ่อลูกหัวหน้าเผ่าแอฟริกาพร้อมใจกันแสดงท่าน้อมรอฟัง เซียวฮูหยินจึงขยายความต่อ “ตั้งแต่แรกที่สืบเรื่องในอดีตของฮั่วกับหลิงสองสกุล แม่ก็รู้สึกแล้วว่าแปลกๆ ต่อให้ชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าหน้าใหญ่สักเพียงใด ถึงอย่างไรเจ้าเหนือหัวกับขุนนางก็แตกต่าง ไม่ว่านางราวีเก่งสักเพียงใด ภายใต้ไฟโทสะของฝ่าบาทนางยังจะต่อต้านได้แน่หรือ กระนั้นฝ่าบาททรงยังคงปล่อยให้ฮั่วฮูหยินกับหลิงโหวหย่าขาดกัน
ตอนนี้แม่ถึงได้เข้าใจ ฝ่าบาททรงเป็นคนตรง ไม่แน่ว่าจะโปรดพฤติกรรมของหลิงโหวกับฉุนอวี๋ซื่อ แต่ก็รู้สึกว่าแตงที่ฝืนปลิดย่อมไม่หวาน* ต่อให้หลิงโหวจำยอมด้วยพระราชอำนาจ เลิกรากับฉุนอวี๋ซื่อแล้วต้อนรับฮั่วฮูหยินกลับมา นั่นจะมีคุณค่าความหมายใด อีกอย่างหากฮั่วฮูหยินยังคงเป็นฮูหยินของหลิงโหว เช่นนั้นผลประโยชน์ที่มอบให้เพื่อปลอบประโลมดวงวิญญาณสกุลฮั่วทั้งตระกูล คงมิแคล้วพลอยให้คนแซ่หลิงได้แบ่งไปบางส่วน ด้วยเหตุนี้ฝ่าบาทจึงมีพระดำริว่า…ปล่อยให้ฮั่วฮูหยินหย่าขาดไปเสีย นางค่อยแต่งงานใหม่กับสามีที่สัตย์ซื่อรักมั่นและมีคุณความชอบโดดเด่น…อย่างเช่นชุยโหว ภายหน้ามิเพียงฮั่วฮูหยินมีที่พึ่ง จื่อเซิ่งก็จะได้มีพ่อเลี้ยงที่ห่วงใยเขาด้วยใจจริง ใครจะรู้ว่า…”
“ใครจะรู้ว่าฮั่วฮูหยินหย่าร้างไม่ทันไรก็ฟั่นเฟือนเสียแล้ว?” เฉิงเซ่าซางพึมพำ โธ่ๆ หนนี้ฮ่องเต้ทรงคำนวณพลาดไปแท้ๆ
เซียวฮูหยินถอนใจกล่าว “ถูกต้อง ใครจะรู้ว่าฮั่วฮูหยินทุ่มเทความรู้สึกให้หลิงโหวลึกล้ำจนถึงกับฟั่นเฟือนไป เฮ้อ นี่มิอาจโทษฝ่าบาท หย่าร้างมิใช่เรื่องใหญ่โตอันใด ก็แค่แต่งงานใหม่ มีอันใดผ่านไปไม่ได้เล่า ผู้ใดจะคาดคิดว่านางฟั่นเฟือนเสียแล้ว”
ปากท่านพ่อเฉิงขยุกขยิก อยากพูดเหลือเกินเกี่ยวกับความเห็นที่ว่า ‘หย่าร้างมิใช่เรื่องใหญ่โต’ แต่สุดท้ายยังคงข่มกลั้นไว้ ทำเพียงอุทานเสียงรัวว่าน่าสงสาร สะท้อนใจกับสภาพปัจจุบันอันชวนหดหู่ของน้องสาวขุนนางผู้ภักดี
“เหนียวเหนี่ยว เจ้าจงจำไว้ บัดนี้ผู้ที่ควรรู้เรื่องนี้ล้วนล่วงรู้แล้ว ส่วนผู้ที่ยังไม่รู้ ฝ่าบาททรงไม่ปรารถนาให้พวกเขารับรู้แต่อย่างใด ฉะนั้นเจ้าอยู่ข้างนอกอย่าได้พูดส่งเดช จะได้ไม่ทำให้ฮ่องเต้ ฮองเฮา กับจื่อเซิ่งขุ่นเคือง” เซียวฮูหยินกำชับทิ้งท้ายจากใจ
เฉิงเซ่าซางขานรับอย่างจริงจัง ความตระหนักเท่านี้นางยังคงรู้จักอยู่ มิได้ไม่รู้ความถึงเพียงนั้น
ก่อนอื่นเห็นชัดว่าหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่ารู้เรื่องนี้ แต่ยายแก่ของเขานักบ่อนทำลายนั่นอาจไม่รู้ ถึงได้ทะเล่อทะล่ารุกถอยอย่างไม่รู้จักขอบเขตเยี่ยงนั้น ฮ่องเต้กับฮองเฮาย่อมรู้เรื่อง เช่นนั้นตามแนวปฏิบัติของฮ่องเต้ชาวดาวคันชั่งแล้ว เยวี่ยเฟยก็จะต้องล่วงรู้เช่นกัน บิดาของหลิงปู้อี๋ก็น่าจะรู้ด้วย หาไม่จะกลัวเกรงฮ่องเต้มากถึงเพียงนั้นหรือ ส่วนคนที่เหลือ เฉิงเซ่าซางคงต้องมองฟ้าทำนายเอาแล้ว
วันรุ่งขึ้นได้นอนจนกระทั่งรู้สึกตัวตื่นเอง เดิมทีเฉิงเซ่าซางอยากนั่งแหมะอย่างเกียจคร้านอีกหนึ่งวัน จัดระเบียบความคิด ทำการทบทวนข้อบกพร่องของผู้อื่นและตนเองสักหน่อย ไม่คาดว่าเรื่องที่ได้หยุดเพิ่มอีกวันจะถูกพี่รองเฉิงซ่งรู้เข้า เขาแจ้งวั่นชีชีอย่างว่องไวระดับฟ้าร้องยังไม่ทันป้องหู จากนั้นวั่นชีชีก็มาคว้าตัวนางอย่างว่องไวระดับฟ้าร้องยังไม่ทันป้องหูเช่นกัน
นางเล่นสนุกที่จวนสกุลวั่นตลอดช่วงสาย ทั้งมวยปล้ำทั้งขี่ม้า แน่นอนว่าหนีไม่พ้นเล่นพนันไปสองตา เฉิงเซ่าซางพ่ายอนาถ กระทั่งหวิดจะเสียเสื้อผ้าไปด้วยซ้ำ สุดท้ายอาหารกลางวันกรอกสุราพี่สาวร่วมสาบานจนเมามาย เฉิงเซ่าซางค่อยโงนเงนกลับจวนได้ ขณะนั่งอยู่บนรถม้ารับลมฤดูสารทให้สร่างเมาอยู่นั้น ถึงกับบังเอิญเห็นโหลวเหยาบนท้องถนน
เฉิงเซ่าซางสติแจ่มใสทันใด สองตาเบิกกลมปานกระพรวน ยืดคอชะเง้อมองไปยังมุมถนนด้านนั้น เห็นโหลวเหยาก้มหน้าก้มตาขี่อยู่บนหลังม้าอย่างอ้างว้าง หนุ่มน้อยสดใสมุทะลุคนเดิมนั้น บัดนี้กลับมีสภาพซูบผอมกลัดกลุ้ม ชั่วพริบตาเดียวเขากับผู้ติดตามก็ลับหายไปจากสายตา เฉิงเซ่าซางนั่งกลับเข้าไปในตัวรถอย่างทึ่มทื่อ เนิ่นนานไร้ถ้อยคำ
ดังคำว่าค้าขายไม่ลุล่วง มิตรภาพยังคงอยู่ แต่งงานไม่สำเร็จ น้ำใจยังคงอยู่ ต่อให้น้ำใจไม่คงอยู่แล้ว ของขวัญที่เมื่อแรกโหลวเหยากำนัลมาก็ยังสวมใส่บนร่างฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงอยู่เลย ด้วยเหตุนี้เฉิงเซ่าซางจึงเป็นห่วงความเป็นไปในปัจจุบันของอดีตคู่หมั้นขึ้นมาอย่างชอบด้วยเหตุผลยิ่ง
ภายหลังกลับถึงเรือนของตนและชำระล้างกลิ่นสุราทั่วร่างแล้ว เฉิงเซ่าซางฟุบกับกรอบหน้าต่าง เพียรขบคิด…ควรสืบข่าวความเป็นไปล่าสุดของโหลวเหยาอย่างไรดีหนอ