ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย
ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย เล่ม 4 บทที่ 87
เซียวฮูหยินพลันกล่าว “ครั้งก่อนๆ ที่หลิงโหวฮูหยินมาเยือน เคยเล่าว่าตอนนั้นอยู่ร่วมกับฮั่วฮูหยินอย่างปรองดองยิ่ง สนิทชิดเชื้อดุจพี่น้อง คอยติดตามปรนนิบัติไม่ห่าง ไม่มีอย่างใดไม่ขานรับ”
เฉิงเซ่าซางผลิยิ้มหวาน แสดงความเลื่อมใสต่อฝีมืออันสูงส่งในการสรรหาคำของมารดา…นี่ก็คือฉากที่สตรีหน้าหวานใสใจมากเล่ห์ตบตาคุณหนูใหญ่ฮั่วผู้ลำพองถือดีสินะ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีหลิงโหวเป็นลูกคู่อยู่ด้านข้าง ประเดี๋ยวยกยอว่าภรรยาผ่าเผยใจกว้าง เพียบพร้อมด้วยคุณธรรม ประเดี๋ยวสรรเสริญว่าภรรยาจิตใจดีงาม เวทนาผู้อ่อนแอ เช่นนี้ฉุนอวี๋ซื่อยังจะยึดกุมฮั่วจวินหวาไม่อยู่หมัดได้หรือ หึๆ
สิ่งที่เซียวฮูหยินไม่ได้เล่าออกมา คือหนก่อนๆ ที่ฉุนอวี๋ซื่อมาเยือน ขณะเอ่ยถึง ‘มิตรภาพ’ ในอดีตกับฮั่วจวินหวา เรียกได้ว่าน้ำตาคลอหน่วย ทำตัวดูน่าสงสารเสียจนเซียวฮูหยินหวิดจะคลื่นไส้ตายอยู่แล้ว แต่ก็ยังต้องข่มทนไว้อย่างยากลำบาก
นางเองก็มาจากตระกูลใหญ่ในท้องถิ่น มิได้ถือสากับเรื่องสามีรับอนุนางบำเรอ เพียงแต่เงื่อนไขแรกคือนางบำเรอเหล่านั้นจะเป็นได้แค่ ‘ของเล่น’ การปกครองเรือนดุจปกครองแคว้น คำสั่งจะเป็นอื่นมิได้ หนึ่งภูเขามีแม่เสือได้เพียงหนึ่งตัว ทว่าฉุนอวี๋ซื่อใช่อนุนางบำเรอธรรมดาหรือ
เซียวฮูหยินกับชิงชงมิเพียงผูกพันดุจพี่น้องอยู่ร่วมยามทุกข์ยาก ยังสื่อใจถึงกัน ต่างรู้ถึงมุมมองชีวิตคู่กับครอบครัวของอีกฝ่าย ดังนั้นชิงชงจึงไม่เคยมีความคิดเลยเถิดกับเฉิงสื่อแม้เพียงน้อยนิด อย่างฉุนอวี๋ซื่อที่ฉวยโอกาสเข้าโถงขึ้นห้องขณะยังไม่พบศพฮั่วจวินหวา ยังอุตส่าห์มีหน้าเอ่ยคำว่า ‘พี่น้อง’ ช่างเป็นวาจาน่าขันสิ้นดี!
“ความผูกพันของข้ากับพี่จวินหวาในอดีตแน่นแฟ้นยิ่งกว่าพี่น้องแท้ๆ ในครอบครัวอื่นด้วยซ้ำ ตอนที่ข้ารู้ว่าพี่จวินหวากับจื่อเซิ่งยังอยู่บนโลกใบนี้ ข้าจุดตะเกียงร้อยดวงในอารามซานชิงตามที่ได้บนบานศาลกล่าวไว้ ใครจะรู้เล่า…ใครจะรู้…”
ฉุนอวี๋ซื่อร่ำไห้เบาๆ อย่างโศกเศร้า “ชายชาตรีมีสามภรรยาสี่อนุเป็นเรื่องปกติ ตอนที่จื่อเซิ่งยังไม่เกิด ท่านพี่หลิงอี้ก็เคยรับอนุ แม้ว่าไม่นานนางจะเสียชีวิตไป แต่เมื่อแรกพี่จวินหวาก็พยักหน้าแล้ว ดังนั้นข้าจึงสมัครใจจะล้างมือปรุงอาหาร ยกย่องปรนนิบัติท่านพี่กับพี่จวินหวา ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเหตุใดพี่จวินหวาจึงยืนกรานไม่ยอมรับข้า ทั้งจะเอาชีวิตข้าให้จงได้!”
ถ้อยคำเหล่านี้แจ้งเรื่องราวให้รู้มิใช่น้อย หากเป็นผู้เที่ยงธรรมทั่วไป คงบังเกิดความไม่ชอบใจในตัวฮั่วจวินหวาขึ้นมานิดๆ แล้ว ทว่าพูดให้เฉิงเซ่าซางฟังล้วนป่วยการเปล่า เพราะนางเป็นพวกเข้าข้างญาติไม่เข้าข้างเหตุผลน่ะสิ!
“ข้าก็ไม่รู้หรอกว่าเหตุใดนางไม่ยอมรับท่าน” เฉิงเซ่าซางมองฟ้าพลางงึมงำ “อาจเพราะฮั่วฮูหยินคุ้นชินกับการเป็นบุตรีคนเดียวกระมัง หรือไม่นางก็ชอบนอนเตียงใหญ่มากกว่า จึงไม่ยินดีให้ท่านขึ้นไปเบียดเสียดกับนาง”
เซียวฮูหยินอยากจะหัวเราะ แต่ก็รู้สึกว่าไม่เหมาะ จึงข่มกลั้นไว้อย่างยากเย็น
ฉุนอวี๋ซื่อทึ่มทื่อไปเล็กน้อย
นางอยากโต้แย้ง ถึงเป็นอนุก็ไม่แน่ว่าจะ ‘ปรนนิบัติ’ สามีพร้อมๆ กับภรรยาเอก ทว่าวาจาเยี่ยงนี้จะให้นางพูดออกจากปากได้อย่างไรกัน กระนั้นนางก็เป็นผู้ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมา เห็นว่าสถานการณ์วันนี้ไม่ถูกต้อง เฉิงเซ่าซางไม่เล่นตามกฎปกติโดยสิ้นเชิง จึงตัดสินใจจะเร่งเผด็จศึก หันไปเอ่ยกับเซียวฮูหยินว่า “ในจวนข้ายังมีธุระหยุมหยิมอยู่จำนวนหนึ่ง ต้องขอตัวกลับก่อน”
นางเอ่ยพลางรับกล่องไม้เคลือบเงาใบหนึ่งจากมือเด็กสาวที่อยู่ทางซ้ายมือ “นี่เป็นโฉนดที่นาเล็กๆ น้อยๆ ที่อยู่นอกเมือง ถือว่าข้ากับท่านโหวเพิ่มสินเจ้าสาวให้เซ่าซางจวินแล้วกัน ยังมีสาวใช้สองคนนี้ ข้าซื้อมาจากแดนใต้ในราคาหนึ่งแสนเฉียน ขับร้องร่ายรำทำครัวล้วนได้ทั้งสิ้น ภายหน้ารับใช้เซ่าซางจวินกับจื่อเซิ่ง…”
“ฮูหยิน ท่านช่างมีอารมณ์ขัน” เฉิงเซ่าซางเอ่ยขัดจังหวะพร้อมคลี่ยิ้มจนตาหยี “จนบัดนี้กระทั่งห้องนอนของใต้เท้าหลิงข้ายังไม่เคยได้แตะ ท่านมาถึงก็กำนัลสาวใช้โฉมงามสองคนให้ข้า แบ่งที่ทางบนเตียงของว่าที่สามีข้าไป หรือยังต้องให้ข้าขอบคุณท่าน? นี่ก็คือ…หลักการที่ว่า ‘พบเจอใคร แบ่งให้ครึ่งหนึ่ง’ หรือไรกัน” นางชื่นชอบเวลาพูดไม่ลงรอยแล้วพูดสองแง่สองง่ามเช่นนี้นี่ล่ะ
“เซ่าซาง!” เซียวฮูหยินมุ่นคิ้วปราม “พูดจาดีๆ ไม่เป็นหรือ!”
ใบหน้าฉุนอวี๋ซื่อฉาบด้วยความโกรธเกรี้ยวดังคาด “เจ้า…เจ้าเป็นแม่นางน้อย ในปากมีแต่คำสกปรกหูเยี่ยงนี้ได้อย่างไรกัน”
“ฮูหยินรู้สึกว่าวาจานี้สกปรกหู?” เฉิงเซ่าซางปั้นสีหน้าเลื่อมใสจนเกินจริง “ฮูหยินช่างสะอาดบริสุทธิ์ดุจหยกน้ำแข็ง พฤติการณ์สูงส่งโดยแท้!” ตามด้วยเสียงเยาะหยันอันเย็นชา “ใต้หล้านี้มีบางคนกระทำเรื่องสกปรกโสมมได้ แต่กลับห้ามผู้อื่นเอ่ยความสกปรกโสมมเหล่านี้ออกมา ฮูหยินรู้สึกว่าคนพรรค์นี้นับเป็นอันใด ฮึ จอมปลอมเสียไม่มี!”
“นี่พวกเจ้ากำลังไล่แขก?” ฉุนอวี๋ซื่อยืนขึ้นพรวด ใบหน้าฉุนเฉียวเยียบเย็น
เห็นบุตรสาวกำลังจะพูดเลื่อนเปื้อนเลยเถิดอีก เซียวฮูหยินจึงรีบชิงตัดหน้ากล่าวอย่างภูมิฐาน “หลิงโหวฮูหยินรู้หรือไม่ อันใดคือนกสองหัว”
ฉุนอวี๋ซื่ออึ้งงัน
เซียวฮูหยินเงยหน้ามองสตรีชั้นสูงที่อยู่เบื้องหน้าสายตานี้ตรงๆ “เรื่องบางอย่างไม่อาจวางเดิมพันทั้งสองข้าง จื่อเซิ่งคือว่าที่เขยของบ้านข้า บ้านข้าย่อมต้องยืนอยู่ข้างเดียวกับเขา ฮูหยิน แทนที่ท่านจะวนอ้อมมาบ้านข้า มิสู้ตรงไปหาจื่อเซิ่งเสียเลย หากเขายอมให้ ‘อดีตล่วงผ่านไปแล้ว’ เช่นนั้นพวกข้าย่อมจะยกย่องท่านเป็นแขกผู้ทรงเกียรติ กระตือรือร้นต้อนรับขับสู้ หาไม่…พวกข้าจะไม่กระทำสิ่งที่ขัดต่อเจตนาของจื่อเซิ่ง”
แววตาของเซียวฮูหยินเย็นยะเยือก ทุกอักษรประดุจดาบ ฉุนอวี๋ซื่อถึงกับไร้วาจาจะตอบโต้ไปชั่วขณะ
เฉิงเซ่าซางปรบมือเอ่ยปนยิ้มกริ่ม “ท่านแม่กล่าวได้ดีจริงเชียว วาจาลึกซึ้งเหตุผลลุ่มลึก ดั่งอสนีก้องหู สายฟ้าผ่าร่าง…”
“พูดไม่เป็นก็จงอย่าพูด!” เซียวฮูหยินหันขวับไปถลึงตาใส่บุตรสาวที่ใช้สำนวนผิดๆ
เฉิงเซ่าซางได้แต่หุบปากหน้าเจื่อน
ฉุนอวี๋ซื่อหัวเราะหยัน “ลำพังถ้อยคำของบุตรสาวท่านในวันนี้ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าผู้อื่นฟังแล้วจะไม่สะทกสะท้าน”
“เช่นนั้นท่านก็…” เฉิงเซ่าซางกำลังจะหัวเราะตอกกลับ ทว่าถูกสายตากรุ่นรังสีพิฆาตของเซียวฮูหยินข่มขวัญก่อน
“บุตรสาวข้าพูดอันใดไปหรือ นางมิได้พูดอันใดเลยนี่” เซียวฮูหยินเฉไฉ ชนิดหน้าไม่เปลี่ยนสีใจไม่เต้นแรง “หากฮูหยินออกไปป่าวร้องอันใด บ้านข้าจะไม่รับโดยเด็ดขาด ใต้เท้าของข้าแม้เข้าร่วมกับฝ่าบาทช้ากว่าหลิงโหว ทว่าในเมืองหลวงแห่งนี้ก็พอจะมีหน้ามีตาอยู่บ้าง แม้แต่ฝ่าบาทกับฮองเฮายังมักตรัสชมว่าพักนี้เซ่าซางยิ่งนานวันยิ่งเข้าที พระราชทานรางวัลให้เป็นประจำ ไม่รู้ว่าคนข้างนอกยังจะเชื่อคำของฮูหยินกันหรือไม่!”
“ดีๆๆ” ฉุนอวี๋ซื่อแค่นหัวเราะติดๆ กัน “วันนี้นับว่าข้าได้รู้จักพวกเจ้าแล้ว! พวกเรากลับ!” นางเอ่ยพลางสะบัดแขนเสื้อ ออกเดินโดยไม่รอบ่าวมาส่งแขก สาวใช้สองนางที่ตกใจจนอึ้งงันพากันตะลีตะลานตามไป
รอจนคนจากไปไกลแล้ว เซียวฮูหยินค่อยมองไปทางบุตรสาว “เจ้ายั่วโทสะฉุนอวี๋ซื่อไม่หยุดหย่อน ที่แท้คิดจะทำอันใด ต่อให้ไม่อยากสวมหน้ากากกับนาง ก็ไม่เห็นจะต้องฉีกหน้าเป็นอริ”
เฉิงเซ่าซางกลับมองซ้ายขวาแล้วว่าเรื่องอื่น “โอ๊ะ ร้อยปากว่ายังคงไม่เท่าหนึ่งตาเห็น ท่านแม่สำแดงเดชออกมา ช่างน่าเกรงขามจริงๆ หวังเพียงว่าฉุนอวี๋ซื่อผู้นี้จะงัดเอาความกล้าที่เคยช่วงชิงบุรุษกับฮั่วฮูหยินในอดีตออกมา ไม่ถึงกับถูกท่านแม่สยบขวัญทีเดียวก็ตัวลีบกลับไป หากนางเอาพฤติกรรมชั่วร้ายของลูกในวันนี้ไปโพนทะนาข้างนอกให้ทั่วได้ ไม่แน่นะเจ้าคะ ลูกอาจเหนื่อยครั้งเดียวได้สบายตลอดไปแล้ว”
เซียวฮูหยินเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง จึงไม่แสดงความเห็นใดๆ
แผนการของเฉิงเซ่าซางดียิ่ง เพียงแต่อีกหลายปีให้หลังมานึกดูแล้ว แผนการซึ่งดูคล้ายจริงจังเป็นการเป็นงานยิ่งยวดเหล่านี้ สุดท้ายกลับมักวิ่งตะบึงไปอีกทิศทางหนึ่ง ซึ่งชวนให้หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก
* แตงที่ฝืนปลิดย่อมไม่หวาน หมายถึงดันทุรังทำทั้งที่เงื่อนไขไม่สุกงอม มักไม่ได้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ เฉกเช่นฝืนปลิดแตงที่ยังไม่สุก ย่อมเด็ดจากขั้วได้ยาก
* งมก้นสมุทร (ไห่ตี่เลา) เป็นชื่อร้านหม้อไฟที่โด่งดังของจีน มีที่มาจากศัพท์เฉพาะในวงไพ่นกกระจอก เรียกอีกชื่อว่างมจันทร์ก้นสมุทร (ไห่ตี่เลาเยวี่ย) หมายถึงการจั่วไพ่ตัวสุดท้ายมาแล้วชนะพอดี ตอนที่เจ้าของร้านหม้อไฟไห่ตี่เลาคิดชื่อร้าน ประจวบกับภรรยาของเขาจั่วได้ไพ่แบบนี้ ซึ่งเกิดขึ้นได้ยากและถือว่าโชคดีมาก
* เซียงสุ่ยไป่เหอ คือดอกลิลลี่พันธุ์ Casa Blanca เป็นราชินีแห่งดอกลิลลี่ กลีบดอกมีสีขาวบริสุทธิ์ ผิดกับลิลลี่พันธุ์อื่นที่มักพบแต้มด่าง
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 16 ม.ค. 66 เวลา 12.00 น.