เดิมพระองค์อยากจะพูดว่า ‘หากเจ้าหมั้นอีกหลายๆ หน ไม่ยิ่งมีความรู้ลึกล้ำขึ้นหรือ’ ทว่าแลเห็นสายตาไม่เห็นพ้องของฮองเฮามองมา พระองค์จึงได้แต่เปลี่ยนคำพูด “เอาเถิด เช่นนั้นหลังจัดงานฉลองหมั้นเสร็จเล่า เหตุใดเจ้ายังไม่เข้าวังอีก”
เฉิงเซ่าซางโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง รีบตอบทันที “เมื่อวานซืน…ใต้เท้าหลิงพาหม่อมฉันไปเยี่ยมคารวะฮั่วฮูหยินเพคะ”
รอยยิ้มในดวงตาของฮ่องเต้สะดุดวูบ มือของฮองเฮาชะงักกึก ผ่านไปครู่หนึ่งฮ่องเต้กับฮองเฮาค่อยกลับเป็นปกติ
ฮ่องเต้กล่าว “พักนี้ฮั่วฮูหยินเป็นเช่นไรบ้าง”
เฉิงเซ่าซางเอ่ย “ฮูหยินซูบผอมอยู่บ้าง เพียงแต่ดูสีหน้าไม่เลวทีเดียว อ้อ ชุยโหวก็อยู่ด้วยเพคะ”
ฮ่องเต้มิได้พูดจา สีหน้าหม่นหมองนิดๆ
เฉิงเซ่าซางเห็นเช่นนั้นจึงรีบดับชนวนระเบิดลูกสุดท้าย “เฮ้อ ออกจากเรือนดอกซิ่งมาแล้ว หม่อมฉันเองก็หดหู่ใจยิ่ง นึกถึงสุขทุกข์กับความจนใจของคนเรา เนิ่นนานหม่อมฉันก็มิอาจปล่อยวางได้ ใต้เท้าหลิงจึงขอลาหยุดกับฮองเฮาให้หม่อมฉันอีกหนึ่งวัน เพื่อให้หม่อมฉัน…เอ่อ…ได้สงบอารมณ์ ผ่อนคลายๆ…”
ฮ่องเต้กลับมาแย้มยิ้มอีกครา “สงบอารมณ์อันใดของเจ้ากัน เป็นแค่เด็กน้อยจะไปรู้จักสุขทุกข์กับความจนใจอันใดของคนเราได้ แสร้งวางท่าวางทางก็เพื่อจะแอบเกียจคร้านเท่านั้น นึกว่าผู้อื่นไม่รู้หรือ!”
เฉิงเซ่าซางกำลังจะเอ่ยถึงเรื่องฉุนอวี๋ซื่อ ทว่าเฉาเฉิงผู้ดูแลตำหนักฉางชิวพลันมาเชิญฮ่องเต้ไป ความว่าใต้เท้าหลายท่านในสำนักราชเลขาธิการมาถึงแล้ว ฮ่องเต้จึงผงกศีรษะรับ สั่งให้เด็กสาวตั้งใจเล่าเรียน ชดเชยช่วงเวลาหลายวันก่อน ค่อยออกจากตำหนักไป
เฉิงเซ่าซางรีบบอกฮองเฮาแทน “ฮองเฮาเพคะ เมื่อวานหลิงโหวฮูหยินมาที่บ้านหม่อมฉัน! นึกถึงสภาพของฮั่วฮูหยินในปัจจุบันแล้ว เพียงเห็นหลิงโหวฮูหยิน หม่อมฉันก็ฉุนกึก จึงได้พูดบางถ้อยคำไปด้วยอารมณ์โกรธ”
ฮองเฮาแม้อ่อนโยน ทว่ามิได้โง่เขลา ฟังจบก็มองพิจารณาเด็กสาวขึ้นลงรอบหนึ่งแล้วอมยิ้มกล่าว “เจ้าล่วงเกินหลิงโหวฮูหยินเข้าแล้ว อยากจะให้ฝ่าบาทกับข้าช่วยหนุนหลังเจ้า?”
“ฮองเฮาเพคะ อย่าตรัสคำว่าล่วงเกินไม่ล่วงเกินอันใดนั่นสิ อย่างหม่อมฉัน นั่นเรียกว่าผดุงความถูกต้อง!” เฉิงเซ่าซางจับประคองแขนฮองเฮา พาเดินมุ่งสู่โถงชั้นในอย่างประจบประแจง “หรือว่าฮองเฮาโปรดปรานหลิงโหวฮูหยิน?”
ฮองเฮาค้อนใส่เฉิงเซ่าซางหนึ่งวง “ชอบไม่ชอบเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เจ้าน่ะควรจะควบคุมปากของตนเองไว้ให้ดี คว้าได้โอกาสทีไรเป็นต้องพูดจาเหลวไหล ยั่วเย้าเกเร อยู่ในตำหนักข้ายังไม่เป็นไร ออกไปแล้วดูซิผู้อื่นจะด่าว่าเจ้าหรือไม่”
“ก็มีแต่อยู่ข้างๆ ฮองเฮา หม่อมฉันจึงได้พูด ทรงดูสิเพคะ หม่อมฉันออกไปแล้วมีพูดเช่นนั้นเมื่อไรกัน”
“อยู่กับข้าก็ห้ามพูดเหลวไหล!”
“แล้วเมื่อไรหม่อมฉันจึงจะพูดตามที่อยากพูดได้เล่าเพคะ ที่บ้านหรือ แต่ตอนนี้ช่วงเวลาที่หม่อมฉันอยู่ในวังยาวนานกว่าที่บ้านตั้งเยอะ อึดอัดแย่เลย”
“ยามที่ข้าบอกเจ้าว่าเปล่งวาจาได้ จึงจะอนุญาตให้พูด!”
“ก็ได้เพคะ”
เนื่องจากขาดเรียนไปสี่วัน ตลอดช่วงสายของวันนี้เฉิงเซ่าซางจึงขยันหมั่นเพียรเป็นพิเศษ ไม่รู้ผ่านไปเนิ่นนานเท่าใด ขณะรู้สึกว่าท้องเริ่มร้องจ๊อกๆ ไจ๋เอ่าเพิ่งเดินมาจะสั่งคนตั้งสำรับ ขันทีที่อยู่นอกโถงตำหนักกลับมารายงาน ความว่าชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าพาหลิงโหวฮูหยินมาถึงแล้ว
ฮองเฮาชะงักไปเล็กน้อยก่อนเอ่ย “ให้เข้ามา”
ชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่ายังคงมีทีท่ายกตนข่มท่าน ซ้ำวันนี้ยังสวมเครื่องแต่งกายของชายาอ๋องมาเต็มยศ พาดผ้าคลุมไหล่ ห้อยหยกประดับ กุ๊นผ้าดิ้นหลากสี ฉุนอวี๋ซื่อที่เดินตามหลังนางมาต้อยๆ ก็แต่งกายภูมิฐานเช่นเดียวกัน เพียงแต่สองตาบวมแดง คาดว่าเกิดจากร่ำไห้อยู่เป็นนาน
เฉิงเซ่าซางกวาดมองรอบหนึ่ง แล้วแอบร้องชิหนึ่งที
ชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าค้อมกายเล็กน้อย ถือว่าได้ทำความเคารพฮองเฮาแล้ว ดังนั้นเฉิงเซ่าซางซึ่งนั่งคุกเข่าอยู่ข้างกายฮองเฮาจึงเอาอย่างบ้าง ลำคอโน้มลงให้ชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าเพียงน้อยนิดชนิดใกล้เคียงกับเส้นตรง ส่วนฉุนอวี๋ซื่อยังนับว่ารู้กาลเทศะ ถวายคำนับเต็มพิธีการแต่โดยดี
“ไม่รู้ว่าวันนี้อาสะใภ้มาด้วยเรื่องใด” ฮองเฮามีสีหน้าสุภาพเรียบเฉย
ชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าแค่นหัวเราะอย่างเย็นชา ตอบพลางชี้มือไปยังข้างกายฮองเฮา “ข้าผู้เฒ่ามาวันนี้ก็เพราะเด็กต่ำช้านี่!”
“อาสะใภ้ระวังถ้อยคำด้วย!” ฮองเฮากล่าวเสียงเย็น “เซ่าซางอยู่ข้างกายข้ามาหลายเดือน ตลอดมาล้วนสุภาพนอบน้อม ใจกว้างเอื้อเฟื้อ ไม่เคยมีสิ่งใดไม่เหมาะสม วันนี้อาสะใภ้มาถึงก็เกรี้ยวกราด ไม่แคล้วทำเกินไป”
เฉิงเซ่าซางยิ่งก้มหน้าลงต่ำ แต่ไรมานางถูกผู้อื่นประณามจนคุ้นชิน ยากนักจะได้รับคำชมเชยแบบ ‘หนักหน่วง’ เช่นนี้ จึงหน้าแดงอยู่บ้างอย่างช่วยไม่ได้
ชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าตบหน้าขาแรงๆ “ถ้อยคำของข้าผู้เฒ่าเป็นความจริงทุกประโยค เมื่อวานหลิงโหวฮูหยินเจตนาดีไปเยี่ยมเยียนถึงจวนสกุลเฉิงเพื่อกำนัลที่นากับสาวใช้ มิเพียงไม่ได้ยินวาจาชวนฟังแม้ครึ่งประโยค ยังถูกเด็กต่ำช้านี่ลบหลู่! ฮองเฮา หากวันนี้ไม่ทรงลงโทษเด็กต่ำช้านี่ ก็ขออภัยที่ข้าผู้เฒ่าไม่อาจยอมรับนับถือ!”
เสียงของหญิงชราดังกึกก้อง สะท้านจนตำหนักแทบสั่นไหว ฉุนอวี๋ซื่อที่อยู่ด้านหลังสะอึกสะอื้นสองสามทีอย่างเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย
เฉิงเซ่าซางเหยียดหยามอยู่ในใจ คิดว่าเจ้ายอมรับนับถือหรือไม่เกี่ยวอันใดกับข้าด้วย ต่อให้เจ้าลมหายใจขาดห้วงก็ไม่ข้องเกี่ยวกับข้า