ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย
ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย เล่ม 4 บทที่ 88
นางกล่าว “พระชายา วาจานี้ผิดแล้ว ข้าอยู่ในโอวาท หมั้นหมายตามบัญชาของผู้ใหญ่ มิกล้าเปรียบกับหลิงโหวฮูหยินที่จัดแจงเรื่องแต่งงานเองหรอก ยิ่งไปกว่านั้นนางกินของสกุลฮั่ว ดื่มของสกุลฮั่ว พักพิงอยู่ข้างกายฮั่วฮูหยินมาหลายปี ทว่าเพียงสะบัดหน้ากลับฉวยจังหวะที่ฮั่วฮูหยินยังไม่รู้เป็นตายร้ายดี แทนที่ตำแหน่งของอีกฝ่ายได้ลงคอ ดังนั้นน่ะ คำสาบานของข้าเชื่อถือได้ ผิดกับคำสาบานของนางที่ไม่น่าเชื่อถือ! พระชายาผู้เฒ่า ท่านใช่แก่ตัวแล้วเลอะเลือนหรือไม่ เรื่องแค่นี้จึงยังคิดไม่กระจ่าง หรือว่า…”
เด็กสาวพลันเปลี่ยนน้ำเสียง ยักคิ้วหลิ่วตากล่าว “หรือว่าเมื่อแรกพระชายาผู้เฒ่าเองก็เป็นแบบ…เดียวกับหลิงโหวฮูหยิน?”
“อย่ามาเหลวไหล!”
“ห้ามมุทะลุ!”
ชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่ากับฮองเฮาเปล่งเสียงโดยพร้อมเพรียง
ฝ่ายแรกสีหน้าแดงอมม่วง แทบจะปรี่ไปตบตีเฉิงเซ่าซางอยู่รอมร่อ ฝ่ายหลังหว่างคิ้วย่นเข้าหากัน ทั้งอยากหัวเราะทั้งทอดถอนใจไม่คลาย
ฉุนอวี๋ซื่อร่างอ่อนระทวยทรุดนั่งไปด้านหลัง ในใจมีแต่ความคั่งแค้น อีกแล้ว เอาอีกแล้ว ข้านึกแล้วเชียว ขอเพียงปล่อยให้เด็กนี่อ้าปาก ไม่ว่าเรื่องใดก็จะกลายเป็นอาวุธมาโจมตีอดีตของข้าทั้งสิ้น เพียงแต่เรื่องมาถึงขั้นนี้ ข้าก็มิอาจไม่แก้ต่างให้ตนเองบ้าง
“เรื่องในอดีต…ข้าแม้มีความผิด ทว่าพี่จวินหวาก็บีบคั้นกันเกินไป ก่อนหน้านี้นางเคยรับอนุให้ท่านโหวแท้ๆ เหตุใดไม่ยอมรับข้าเล่า” นางหลั่งน้ำตาทุกถ้อยคำ
ชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่ารีบมาช่วยสนับสนุน “นั่นสิๆ แค่อนุเล็กๆ คนเดียว ฮั่วจวินหวายังยอมรับไม่ได้ ขี้ริษยาใจเหี้ยมถึงเพียงใด”
ต่อหน้าฮองเฮา เฉิงเซ่าซางไม่กล้าพูดถึงตั่งเตียงอันใดหรอก จึงกล่าวเพียงว่า “ฮั่วฮูหยินคิดเช่นไรนั้นข้าไม่รู้ ทว่าอุปนิสัยของฮั่วฮูหยินเป็นเช่นนี้ ทุกท่านใช่ว่าเพิ่งรู้เป็นวันแรก ในเมื่อตอนนั้นถูกบีบคั้นถึงขั้นนี้แล้ว เหตุใดหลิงโหวฮูหยินไม่ถอยเล่า อย่างไรเสียผู้อื่นผูกพันเป็นสามีภรรยามาเกือบสิบปี ส่วนหลิงโหวฮูหยินนั้น ต่อให้ทันทีที่ฮั่วฮูหยินแม่ลูกหายสาบสูญไป ท่านกับหลิงโหวก็…เอิ่ม แบบว่า…แบบว่า…บังเกิดจิตปฏิพัทธ์ต่อกัน นับอย่างเต็มที่ก็ราวหนึ่งปีเท่านั้น ที่นี่ไม่รั้งท่าน ย่อมมีที่อื่นรั้งท่านไว้ จะอย่างไรก็เป็นอนุ อยู่ที่ใดไม่อาจเป็นได้เล่า ถูกต้องกระมัง หรือว่า…ความจริงฮูหยินกับหลิงโหวก็ผูกสัมพันธ์กันมาหลายปีแล้ว?” ประโยคสุดท้ายเฉิงเซ่าซางเกือบจะหัวเราะออกมา
ฉุนอวี๋ซื่อสีหน้าเผือดขาวลงทุกที ทั่วร่างสั่นเทิ้ม
ในช่วงชีวิตหลายสิบปีนางก็เคยถูกกลั่นแกล้ง เพียงแต่ยังไม่เคยเจอคู่ต่อสู้เช่นเฉิงเซ่าซาง นี่เป็นเพราะคนที่หน้าไม่อายล้วนฐานะไม่สูงเท่านาง ไม่กล้ามาหาเรื่อง ส่วนคนที่ฐานะสูงกว่านางล้วนไม่ถึงขั้นฉีกหน้ากัน
ชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าตะลึงค้าง นี่มันสตรีเหลี่ยมจัดจากที่ใด เป็นเด็กสาวปากตลาดไร้ยางอายชัดๆ!
ฉุนอวี๋ซื่อสีหน้าซีดเผือด เอ่ยกับฮองเฮาอย่างนอบน้อม “ฮองเฮาเพคะ หม่อมฉันแม้ชาติกำเนิดต่ำต้อย แต่ก็มิอาจยอมให้เฉิงเซ่าซางมาหมิ่นเกียรติให้ร้ายกันเช่นนี้ หากฮองเฮาไม่ตรัสอันใดสักอย่าง หม่อมฉันก็ได้แต่ตายยุติเรื่องราวแล้ว”
“เฮ้อ ฮูหยินช่างห้าวหาญ ไม่ยอมถูกหยามหมิ่น ชวนให้ผู้เยาว์ชื่นชมเลื่อมใสโดยแท้ หากเมื่อสิบกว่าปีก่อนท่านยอมไปตายดู ฮั่วฮูหยินก็คงไม่โกรธแค้นจนหย่าร้าง หลายเรื่องในวันนี้ก็คงจะไม่เหมือนเดิมแล้ว” เฉิงเซ่าซางสอดแทรกเบาๆ อีกครา เพลิงโทสะในดวงตาฉุนอวี๋ซื่อลุกโพลง แค้นใจจนแทบอยากปรี่ไปเค้นคอเด็กปากเน่านี่ให้ตายไปตรงหน้า
“เช่นนี้เถิด” เฉิงเซ่าซางกุมกำปั้นทุบใส่ฝ่ามือ ท่าทางแบบเพิ่งฉุกคิดได้ “เราสองมิสู้ลั่นคำสาบานพร้อมกัน หากฮูหยินไม่กล้าตาย ก็ถือเสียว่าข้ามิได้พูดอันใด แต่หากฮูหยินไปตายจริงๆ เช่นนั้นขอให้…”
ชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่ากับฉุนอวี๋ซื่อแม้ไม่มีความคิดจะร่วมเดิมพันนี้ กระนั้นชั่วขณะนี้หัวใจทั้งดวงกลับกระดอนขึ้น
“…ขอให้ใต้เท้าหลิงอดรับอนุนางบำเรอไปทั้งชีวิต!” เฉิงเซ่าซางพูดจบในอึดใจเดียว “เป็นอย่างไร คำสาบานนี้โหดเหี้ยมพอแล้วกระมัง” นางยิ่งพูดยิ่งเริงรื่น
ฮองเฮารีบเอียงหน้ากระแอมค่อยๆ ส่วนไจ๋เอ่าหลุดเสียงคิกออกมาโดยตรง ส่งผลให้สำลักน้ำลายต้องไอโขลกๆ
ใบหน้าขาวซีดของฉุนอวี๋ซื่อถูกยั่วโทสะจนกลับมาแดงอีกครา เล็บจิกจนผิวฝ่ามือแทบฉีกขาด
อย่างไรเสียชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าก็อายุมากแล้ว หายใจติดขัดจังหวะเดียวถึงกับหงายล้มไปตรงๆ ฉุนอวี๋ซื่อตะลีตะลานไปรับไว้
ตอนนี้เองนอกโถงตำหนักพลันแว่วเสียงหัวเราะหลายช่วง คนทั้งหมดเหลียวขวับไปมอง เห็นเยวี่ยเฟยย่างฝีก้าวเล็กอ่อนช้อยเข้ามาในโถงอย่างแช่มชื่น ตามมาด้วยฮ่องเต้ที่เอาสองมือไพล่หลัง ยามที่คนทั้งสองเดินเข้ามา มุมปากเยวี่ยเฟยยังคงอมยิ้ม นางมองเฉิงเซ่าซางเล็กน้อยก่อนเอ่ยหนึ่งประโยค “ที่แท้ว่าที่ภรรยาของจื่อเซิ่งเป็นเช่นนี้นี่เอง” ผิดกับฮ่องเต้ที่เหลือกตาใส่เฉิงเซ่าซางอย่างหัวเสีย
ผู้ที่ตามหลังเข้ามาอีกคือหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าที่เป็นตาเฒ่ารุ่มร่ามในเครื่องแต่งกายอันเป็นทางการ มือเขาคว้าตัวบุรุษวัยกลางคนในชุดขุนนางสีแดงชาดผู้หนึ่ง ฉุดกระชากพาอีกฝ่ายเข้ามาในโถงด้วย เฉาเฉิงผู้ดูแลตำหนักฉางชิวติดตามอยู่ด้านข้าง โน้มน้าวเสียงรัวให้ท่านอ๋องผู้เฒ่าปล่อยมือ
คนที่อยู่หลังสุดถึงกับเป็นหลิงปู้อี๋ เขาก้าวเนิบนาบเข้ามา มองเฉิงเซ่าซางด้วยแววตาที่คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ไม่พูดไม่จา
เฉิงเซ่าซางท่าทีเหี่ยวเฉาลงทันตา นางผลุบไปอยู่ด้านหลังฮองเฮา แล้วนั่งคุกเข่าเรียบร้อย สีหน้าทั้งซื่อตรงทั้งสงบเสงี่ยม
ฉุนอวี๋ซื่อหัวไวไม่หยอก เห็นกลุ่มคนพรวนยาวนี้เข้ามาในโถงก็สัมผัสได้ทันทีว่ารูปการณ์ชักไม่สู้ดี เรื่องในวันนี้น่ากลัวว่าไม่อาจลงเอยด้วยดีแล้ว จึงไม่กล้าทวงความเป็นธรรมอันใดต่อ คุกเข่าเข้าด้านข้างอย่างตกประหม่า เปิดทางให้ฮ่องเต้กับเยวี่ยเฟยผ่านไป
มีแต่ชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าที่ยังโวยวายอย่างไม่รู้จักความเป็นความตาย “ฝ่าบาท เมื่อครู่ทรงได้ยินแล้วกระมัง เด็กต่ำช้านี่มีวาจาเหลวไหลเต็มปาก น่าอัปยศอดสู ต้องทรงลงโทษให้หนัก…”
“อาสะใภ้!” เยวี่ยเฟยไม่แม้แต่จะนั่งลง มาถึงก็เปิดฉากทันที “งานเลี้ยงในวังคราวก่อนข้าพูดไว้ว่าอย่างไร ท่านจะปฏิบัติเช่นไรกับฉุนอวี๋ซื่อข้าไม่อาจยุ่มย่าม หากท่านรู้สึกว่าหน้าใหญ่พอ จะไปดำเนินการเองก็ย่อมได้ แต่หากท่านคิดจะมาชี้มือวาดเท้าในวัง กลับไม่สามารถ!”
เผชิญหน้ากับเยวี่ยเฟย บารมีของชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าพลันลดฮวบลงหลายส่วน นางต้องผ่อนน้ำเสียงลงอย่างห้ามไม่อยู่ “ข้าเคยชี้มือวาดเท้าเมื่อไรกัน อย่างไรเสียเฉิงเซ่าซางก็เป็นผู้เยาว์ หรือข้าที่เป็นผู้ใหญ่แม้แต่จะถามสักประโยคยังไม่ได้! ร้องขอให้ผู้ใหญ่รักเอ็นดู ไม่ใช่หน้าที่อันพึงกระทำของผู้เยาว์หรือไรเล่า!”
เยวี่ยเฟยหัวเราะหึๆ อย่างไม่จริงใจ “อาสะใภ้ไม่ยักถือสาที่ตนเองพูดวางโต เซ่าซางใช่เป็นเพราะได้ท่านเอ็นดู จื่อเซิ่งจึงไปสู่ขอหรือ หนี่ว์อิ๋งต่างหากที่ท่านเอ็นดูนัก ทว่าจื่อเซิ่งไม่ชมชอบ แล้วนางได้แต่งไปหรือไร”
“ห้ามยกหนี่ว์อิ๋งมาเป็นประเด็นนะ!” ชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าเดือดดาลหันไปตะคอกใส่สามีต่อ “ท่านเป็นคนตายใช่หรือไม่ เห็นหลานสาวถูกนางว่าร้าย ยังไม่เปล่งเสียงสักแอะ!”
“หุบปากนะยายแก่ ไม่ถึงคราวที่เจ้าจะมาอบรมข้า! หากไม่ใช่เจ้ายุยงหนี่ว์อิ๋งทั้งวี่วัน ข้าเลือกเขยดีๆ ให้นางแต่งงานใหม่ไปแต่แรกแล้ว!” พลังเสียงของหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าดังไม่ธรรมดาเช่นกัน
ฮองเฮานวดคลึงกกหูซึ่งถูกสะเทือนจนชา ก่อนเอ่ยเสียงเบา “ท่านอา ท่านกับอวี๋โหวนั่งลงก่อนเถิด มีถ้อยคำใดค่อยพูดค่อยจากัน จื่อเซิ่งอย่ามัวนิ่งอยู่ พยุงท่านอ๋องผู้เฒ่านั่งลงสิ”
หลิงปู้อี๋ทำตามคำสั่ง พยุงให้ท่านอ๋องผู้เฒ่ากับอวี๋โหวนั่งลงแล้ว ค่อยขยับฝีเท้าไปนั่งเคียงข้างเฉิงเซ่าซางโดยมิต้องให้ใครบอก
เฉิงเซ่าซางเอียงหน้ามาอย่างระมัดระวัง ใช้รูปปากบอกเขาว่า ‘ขออภัยด้วย ข้าน่าจะก่อเรื่องอีกแล้ว’
หลิงปู้อี๋บีบใบหูนิ่มเล็กของนางหนึ่งทีอย่างฉับไว ก่อนใช้รูปปากตอบกลับ ‘เจ้าไม่ก่อเรื่องสิแปลก’ เขาขบคิดเล็กน้อยแล้วพูดเสริม ‘วางใจได้ มีข้าอยู่’
เฉิงเซ่าซางวางใจลง ขณะคิดจะเอ่ยวาจาซุกซนสักสองประโยค ฮองเฮาพลันเหลียวมาขึงตาใส่คนละหนึ่งที หนุ่มสาวสองคนจึงได้แต่เงียบเสียง
“…ฮั่วจวินหวาเป็นคนเยี่ยงไร เมื่อแรกเจ้าชิงชังนางอย่างกับอะไรดี เหตุใดวันนี้กลับพูดจาแทนนาง! มิใช่เพราะเจตนาจะงัดข้อกับข้าผู้เฒ่าหรือ!” ชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่ามองจนทั่วรอบหนึ่ง พบว่าแนวร่วมที่เป็นไปได้ถึงกับมีเยวี่ยเฟยผู้เดียว
“อาสะใภ้ แต่เล็กมาข้ามีอุปนิสัยเช่นไรท่านก็รู้อยู่” เยวี่ยเฟยหน้าขรึม “ความบาดหมางระหว่างฮั่วจวินหวากับข้านั้นเป็นเรื่องหนึ่ง ทว่าแต่ไรมานางไม่เคยผิดต่อสกุลหลิง ยิ่งมิได้ผิดต่อหลิงปู้อี๋บุตรชายนาง!
นางมีน้ำใจไมตรีต่อหลิงอี้อย่างลึกล้ำ ช่วยพยุงสกุลหลิงในทุกรายละเอียด ทว่าหลิงอี้เล่า ภรรยากับบุตรชายไม่รู้เป็นตายร้ายดียังไม่ถึงหนึ่งปีเลย ก็มีความสัมพันธ์ไม่ชัดแจ้งกับฉุนอวี๋ซื่อแล้ว เขาสู้หน้าสกุลฮั่วได้หรือ ส่วนหลิงปู้อี๋ ในตอนนั้นสงครามโกลาหล ขาดแคลนเสื้อผ้าอาหาร สองคนแม่ลูกระหกระเหิน ฮั่วจวินหวาเอาเสื้อคลุมขนสัตว์ห่อบนร่างบุตรชาย อดมื้อกินมื้อเพื่อให้บุตรชายได้กินอิ่ม ถึงสู้ทนฟันฝ่ามาจนได้ เวลานั้นหลิงอี้อยู่ที่ใด อ้อ เขากำลังเตรียมตัวแต่งภรรยาคนใหม่อยู่สินะ!”
นางจงใจเอ่ยเยาะ “ตอนที่ฮั่วจวินหวาสืบเสาะกลับมาถึง นางก็ผ่ายผอมจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก กระทั่งข้ายังจำนางไม่ได้ด้วยซ้ำ ต่อให้นางมีพฤติกรรมย่ำแย่ แต่ก็เป็นมารดาที่ดีคนหนึ่ง นางมิได้ผิดต่อบุตรชาย เช่นนั้นหลิงปู้อี๋ก็ไม่อาจผิดต่อนางด้วยการไปประจบเอาใจอันใดฉุนอวี๋ซื่อ! แม้แต่หลิงอี้ออกปากก็ไม่ได้! วันนี้ข้าขอลั่นวาจาไว้ตรงนี้ ประเดี๋ยวข้าจะทูลขอพระบัญชาจากฝ่าบาทและฮองเฮา นับแต่นี้ไปหากฉุนอวี๋ซื่อไม่ถูกเรียกตัว ห้ามเข้าวังมาเป็นอันขาด!”
ฉุนอวี๋ซื่อได้แต่ก้มหน้าฟัง อับอายสุดประมาณ แทบจะประคองกายนั่งคุกเข่าไม่อยู่ ชั่วขณะนี้นางแสนแค้นตนเองที่ไม่อาจข่มใจให้เยือกเย็น มาหาเรื่องเฉิงเซ่าซางในวันนี้ ผลสุดท้ายจึงกลายเป็นรนหาความขื่นขมใส่ตัว
ใบหน้าชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าประเดี๋ยวเขียวปั้ดประเดี๋ยวแดงจัด สายตากวาดมองคนทั้งหมดรอบหนึ่ง “ดี ดีนัก วันนี้พวกเจ้าจงใจมาเพื่อจะตบหน้าข้านี่เอง!”
ไม่ทันขาดคำ นางพลันดึงปิ่นหลายอันบนศีรษะออก กระทืบเท้าสะบัดร่างแรงๆ สองสามหนจนเรือนผมที่บำรุงมาดีเยี่ยมสยายออกจนสิ้น จากนั้นออกฤทธิ์ออกเดชใส่ฮ่องเต้ “ฝ่าบาท! ต่อให้ฉุนอวี๋ซื่อไม่ดีสักเพียงใดก็มีบุญคุณช่วยชีวิตข้าผู้เฒ่า วันนี้ทุกคนลบหลู่นาง เท่ากับลบหลู่อาสะใภ้ของพระองค์! หากวันนี้ทรงไม่ให้คำชี้แจงต่อข้าผู้เฒ่าสักข้อ ข้าผู้เฒ่าจะเอาศีรษะพุ่งชนให้ตายคาตำหนักฉางชิวนี่ ดูซิผู้คนทั่วหล้าจะพูดกันอย่างไร!”
“เจ้าจะหาที่ตาย?” หรู่หยางอ๋องผู้เฒ่ายกมือทาบอก ตื่นเต้นระคนยินดีอย่างห้ามไม่อยู่