ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย
ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย เล่ม 4 บทที่ 89
บทที่ 89
ในเมื่อวันนี้เหล่าคนใหญ่คนโตได้กำหนดผลลงเอยให้กับพฤติการณ์อันเลวร้ายกรณีนี้ไว้แต่แรก ขันทีร่างกำยำแรงดีฝีมือช่ำชองกลุ่มหนึ่งจึงแยกย้ายกัน ‘ควบคุมตัว’ ชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่ากับฉุนอวี๋ซื่อในทันที คนแรกถูกคุมตัวขึ้นรถม้าของวังหลวงอย่างฉับไว จากนั้นจะส่งไปยังอารามซานไฉที่นอกเมืองโดยตรง เพราะหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าพูดแทรกมาว่าไม่ต้องให้นางกลับจวนแล้ว เขาจะช่วยเก็บของมีค่าของภรรยาส่งตามไปให้เอง สำหรับคนหลังถูกจัดการอย่างโผงผางเรียบง่าย ขับพ้นประตูวัง แล้วลบชื่อออกจากรายนามผู้มีสิทธิ์เข้าออก
จัดการเรื่องใหญ่นี้เสร็จสิ้น เฉิงเซ่าซางผู้มีสายตาเฉียบไวค้นพบว่าผู้คนในโถงตั้งแต่ฮ่องเต้จนถึงอวี๋โหวคล้ายมีความรู้สึกโล่งอกกันทั้งสิ้น อวี๋โหวยังเอ่ยด้วยสำนวนบัณฑิตว่า “หาใช่ไม่นับญาติมิตร หากแต่เพราะหน้าตาของประมุขแผ่นดินนั้นเกี่ยวพันถึงแว่นแคว้นด้วย”
หรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าคิ้วตาแต้มยิ้ม ตบหนึ่งฝ่ามือใส่กลางหลังของอีกฝ่าย “พูดได้ดี! แต่เล็กจนโตอ่านตำราเยอะแยะไม่เสียเปล่าจริงเสียด้วย พักก่อนข้าเพิ่งได้สุราที่บ่มจากผลไม้ป่ามาหลายไห หอมหวานเข้มข้นยิ่ง วันนี้ข้าต้องดื่มกับเจ้าให้เต็มคราบสักครา!”
อวี๋โหวทั้งมีอาวุโสทั้งครองตำแหน่งสูงสุดของเหล่าขุนนาง แต่กลับถูกตบหลังจนซวนเซ หวิดจะล้มคะมำตกบันได เขาได้แต่ส่ายหน้ายิ้มเจื่อน ก่อนถูกหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าผู้สุขสันต์กับวันแยกทางดึงตัวไปถวายบังคมลาแล้วพาออกไปพร้อมกัน
เยวี่ยเฟยหาวนิดๆ “ข้าง่วงแล้ว ต้องไปนอนกลางวันก่อน ฝ่าบาท ฮองเฮา หม่อมฉันทูลลาเลยนะเพคะ” นางพูดพลางคำนับให้ฮ่องเต้กับฮองเฮา จากนั้นเดินโคลงเคลงมุ่งสู่นอกโถง
“นี่ๆ เจ้ายังไม่ได้กินอาหารกลางวันเลยนะ นอนอะไรกัน!” ฮ่องเต้ตะโกนไล่หลังนางไป
เยวี่ยเฟยกล่าว “หม่อมฉันไม่ต้องขึ้นเขาล่าเสือ ลงนาเพาะปลูกเสียหน่อย เช้าจรดค่ำนั่งว่างไม่มีงานการ อยากกินเมื่อใดค่อยกินเมื่อนั้นก็ได้เพคะ”
ฮ่องเต้ได้แต่จำยอมมองนางจากไป ก่อนหันมาจูงฮองเฮาไปกินอาหารกลางวัน “ไม่ต้องสนใจนาง พวกเราไปกินอาหารกัน ไปๆ”
ฮองเฮาทำราวไม่มีเรื่องใด ยังคงขานรับเสียงเบาอย่างสุภาพภูมิฐาน
เฉิงเซ่าซางเห็นภาพฉากนี้แล้วไม่แคล้วอยากแสดงความเห็นอีกคราว่า ‘ฮองเฮาจะไม่มีความน่ายำเกรงต่อหน้าสนมชายาเลยมิได้’ ทว่ากลับถูกหลิงปู้อี๋จูงพาออกไปก่อน จวบจนเดินพ้นลานมาถึงที่โล่งปลอดคน นางค่อยเอ่ยปาก “ฝ่าบาทก็จริงๆ เลยเชียว ในเมื่อทรงคิดจะจัดการหญิง…หญิง…หญิง…” เด็กสาวอยากเอาอย่างหัวหน้าเหวย* ตะโกนคำว่า ‘หญิงโคมเขียวเฒ่า’ ออกไปสักหน ทว่าจนใจที่กำลังขวัญไม่เพียงพอ “…หญิงชราที่แยกเขี้ยวกางกรงเล็บนั่นแต่แรกแล้ว เหตุใดไม่เร่งลงมือสักหน่อย ปล่อยให้ฮองเฮาทรงถูกระรานหนึ่งยกเปล่าๆ!”
“เจ้านึกว่าชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าจะจัดการทิ้งตามใจชอบได้หรือ” หลิงปู้อี๋ถาม
“หรือว่าไม่ใช่?” ท่านลุงที่สวมฉลองพระองค์มังกรผู้นั้นคือฮ่องเต้ตัวจริงเสียงจริงเชียวนะ ไม่ใช่คนที่แต่งตัวเลียนแบบสักหน่อย ไม่ว่าจะลงทัณฑ์หรือตกรางวัลล้วนถือเป็นพระมหากรุณาธิคุณมิใช่หรือไร
หลิงปู้อี๋เหลียวมองรอบทิศ ก่อนแย้มยิ้มจูงพาเด็กสาวเดินไปยังมุมเปลี่ยวที่อยู่ด้านข้าง “ที่ชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าเหิมเกริมวางโตเพราะพึ่งพาสองข้อ ข้อแรก…ฝ่าบาทกับพี่น้องชายหญิงสูญเสียบุพการีไปตั้งแต่ยังเล็ก ทั้งหมดถูกเลี้ยงอยู่ด้วยกันในบ้านอากับอาสะใภ้ อยู่ในฐานะหลานผู้เยาว์มาสิบกว่าปี ชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าเรียกใช้พวกฝ่าบาทจนเคยชินนานแล้ว เจ้าลองเอาใจเขามาใส่ใจเราดู หากเป็นเฉิงจู้หรือเฉิงโอวน้องชายคนเล็กทั้งสองที่เล่นสนุกอยู่ข้างกายเจ้ามาแต่เด็ก ชั่วเวลาสั้นๆ เจ้าสามารถมองเขาเป็นเจ้าเหนือหัว พินอบพิเทาต่อเขาได้ในทันทีหรือ”
เพียงนึกถึงเด็กซนน้ำมูกย้อยสองคนในบ้าน เฉิงเซ่าซางก็พลันรู้สึกว่าชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่ามีสาเหตุที่น่าให้อภัย “แต่ว่า…ต่อให้ตอนนั้นไม่อาจปรับตัว ตอนนี้ฝ่าบาทครองราชย์มาตั้งกี่ปีแล้ว นางยังวางท่าหน้าเหม็นอยู่อีก ถูกจัดการไปก็สมควร”
หลิงปู้อี๋ผงกศีรษะ ครั้นเห็นว่าไกลออกไปมีขันทีหลายคนกำลังจะมาทางนี้ จึงโบกมือให้พวกเขาถอยไปก่อน “วาจานี้ไม่ผิด เพียงแต่ชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่ายังมีข้อที่สองอีก แม้นางจะอารมณ์ร้อน ใจคอคับแคบ แต่ก็มิได้แก่เลอะเลือนเช่นนี้มาโดยตลอด เมื่อแรกที่ฝ่าบาทร่วมชิงแผ่นดิน ทั้งที่ในใจนางเปี่ยมด้วยความไม่ยินยอม กระนั้นกลับยังคงช่วยเหลือสุดกำลัง ไม่เพียงตระเวนยืมเงินยืมคนจนทั่ว ยังเรียกระดมสตรีในครอบครัวขุนนางทั้งหลายมาเย็บซ่อมเสื้อผ้า รวบรวมยุทโธปกรณ์ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงบุตรชายที่สูญเสียไปสองคนติดกัน เหล่านี้มิอาจกล่าวว่านางไร้คุณความดีแม้เพียงนิด”
เฉิงเซ่าซางถอนใจกล่าว “ถึงมีคุณความดีก็ไม่อาจโอ้อวดเยี่ยงนี้ อย่างไรเสียเจ้าเหนือหัวกับขุนนางก็แตกต่าง กาลเคลื่อนโลกเปลี่ยน ชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าจะมองตำหนักในเหมือนบ้านตนเองไม่ได้กระมัง”
“คนต่ำต้อยเช่นฉุนอวี๋ซื่อไม่อาจก่อคลื่นลม ไม่คู่ควรแก่การเอ่ยถึง ทว่าชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่านั้นไม่เหมือนกัน เมื่อก่อนนางยังเสนอชื่อคนเข้ารับตำแหน่งขุนนางได้เป็นประจำ ต่อมาฝ่าบาทค่อยๆ เพิกเฉยต่อผู้อาวุโสท่านนี้ เรื่องที่นางร้องขอมักทรงไม่อนุญาต คนที่นางเสนอชื่อมักทรงไม่ใช้งาน หลายปีให้หลังท่านอ๋องผู้เฒ่าแยกกันอยู่กับนาง ยิ่งทำให้บารมีของนางลดฮวบ บัดนี้นางจึงมีปัญญารบเร้าเซ้าซี้แค่เรื่องแต่งงานของบุตรหลานเท่านั้น”
“ ‘ต่อมา’ ที่ท่านเอ่ยนี้…เริ่มตั้งแต่มารดาของท่าน…หย่าร้างกับบิดาของท่านหรือ” เฉิงเซ่าซางสอบถามอย่างระมัดระวัง
หลิงปู้อี๋ก้มหน้ายิ้ม จากนั้นเรียวคิ้วปานทิวเขาค่อยมุ่นนิดๆ “ไม่ใช่ เริ่มตั้งแต่ท่านแม่ของข้า ‘ป่วย’ ”
เฉิงเซ่าซางใจเต้นตุบ ต้องบอกว่าหัวหน้าเซียวมีฝีมือไม่เบาจริงๆ เรื่องที่คาดคะเนมักถูกต้องถึงแปดเก้าส่วน มิน่าเล่า ท่านพ่อเฉิงถึงสามารถอยู่รอดในการแข่งขันคัดคนออก ท่ามกลางกลียุคที่สิบคนอาจไม่เหลือแม้เพียงหนึ่ง