ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย เล่ม 4 บทที่ 89 – หน้า 2 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย

ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย เล่ม 4 บทที่ 89

“ตอนนั้นขุมกำลังของฝ่าบาทไม่แข็งแกร่ง ดินแดนที่ยึดครองมีเพียงเมืองหลวงแห่งนี้กับเมืองโดยรอบอีกเล็กน้อย ชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าคือนายหญิงที่มีอาวุโสสูงสุดในครอบครัวของฝ่าบาท มิเพียงมีศักดิ์เป็นอาสะใภ้ ยังมีบุญคุณที่เลี้ยงดู หลายปีมานี้ฝ่าบาททรงรับคนไว้ไม่น้อย มีทั้งคนบ้านเดียวกัน แม่ทัพที่ยอมจำนน ตลอดจนตระกูลใหญ่กับผู้กล้าที่มาสวามิภักดิ์เพราะเลื่อมใสในชื่อเสียง…”

“ท่านลุงวั่นกับท่านพ่อข้าก็เลื่อมใสในชื่อเสียงของฝ่าบาท จึงมุ่งตรงมาสวามิภักดิ์โดยเฉพาะ” เฉิงเซ่าซางรีบสอดแทรก

หลิงปู้อี๋หัวเราะขัน “ไฉนข้าได้ยินมาว่าช่วงหลายปีนั้นท่านพ่อเจ้าตระเวนเสาะหานายที่ปราดเปรื่องไปทางโน้นทีทางนี้ทีเล่า” อย่างวั่นซงไป่กับเฉิงสื่อที่นำกองทัพตะลอนไปทั่ว มุ่งมั่นจะเสาะหาลูกพี่ใหญ่ที่ดีสักคนให้ได้นี้ มีให้เห็นไม่บ่อยจริงๆ

เฉิงเซ่าซางออกแรงตีเขาหนึ่งที ก่อนดุว่าอย่างยิ้มแย้ม “ประโยคที่ว่า ‘มองทะลุแต่ไม่พูดเปิดโปง’ น่ะ ท่านไม่รู้จักหรือ”

หลิงปู้อี๋หัวเราะจบค่อยเอ่ยต่อ “เอาล่ะ เจ้าลองคิดจากมุมมองของผู้อื่นดู อย่างกลุ่มคนเช่นเจ้าเมืองวั่นกับบิดาเจ้า ท่ามกลางกลียุคออกเสาะหานายที่จะสามารถฝากชีวิต ทว่าผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า หากได้ยินว่าฝ่าบาททรงให้ผู้เป็นอาหย่าขาดอาสะใภ้ที่เลี้ยงดูพระองค์มาจนเติบใหญ่ ในสถานการณ์ที่ไม่รู้สาเหตุเบื้องหลัง คนกลุ่มนี้จะคิดเห็นกันเช่นไร”

“คง…คงจะ…คิดว่าฝ่าบาททรงแล้งน้ำพระทัยอยู่บ้าง”

“คนกลุ่มนี้ยังพอทำเนา พวกแม่ทัพที่ยอมจำนนส่วนใหญ่มีหนี้เลือดอยู่กับเหล่าแม่ทัพของฝ่าบาท คนไม่น้อยยังมีทหารบริวารกับทรัพย์สินจำนวนมาก เดิมทีก็หวาดระแวงทั้งวี่วันอยู่แล้ว ที่ยอมวางอาวุธก็เพราะเชื่อว่าฝ่าบาททรงมีสัจจะเมตตา ยินดีอภัยโทษให้พวกเขา แต่หากมีคนยั่วยุแม้เพียงนิด เรื่องราวจะเป็นเช่นไรก็พูดได้ยากแล้ว”

“แต่ตอนนี้…” เฉิงเซ่าซางพลันเอ่ย “แผ่นดินทั่วหล้าอยู่ในความครอบครองของฝ่าบาทถึงสามในสี่ส่วน เกียรติภูมิกับพระบารมีล้วนเหนือกว่ากาลก่อนชนิดไม่อาจเทียบเปรียบได้ ความกริ่งเกรงเมื่อแรกย่อมไม่ดำรงอยู่อีก” นี่สินะคือสาเหตุหลัก

หลิงปู้อี๋ลังเลครู่หนึ่งก่อนกล่าว “ยังเป็นเพราะชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าข่มเหงฮองเฮาเกินไป”

เฉิงเซ่าซางทำปากแบน พูดประชดประชัน “มิน่าเล่า คราวก่อนเยวี่ยเฟยตรัสว่าน้ำใจที่ชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่ามีต่อฉุนอวี๋ซื่อซาบซึ้งไปถึงชั้นฟ้า เป็นเช่นนี้จริงๆ เสียด้วย”

“หึๆ นั่นก็ไม่แน่หรอก” หลิงปู้อี๋เผยรอยยิ้มอันพิเศษเฉพาะตัว “ต่อให้เป็นแค่รองนายอำเภอเล็กๆ ผู้หนึ่ง เวลาผ่านไปนับสิบกว่าปี อำนาจในอำเภอก็หยั่งรากซับซ้อนได้เช่นกัน แล้วนับประสาอะไรกับผู้มีฐานะระดับชายาอ๋องผู้เฒ่า ข้างกายย่อมจะมีผู้สนับสนุนอยู่ ตอนที่นางทะเลาะแตกหักกับท่านอ๋องผู้เฒ่า มีคนไม่น้อยออกมาช่วยไกล่เกลี่ย ท่านอ๋องผู้เฒ่าไม่อาจสลัดนางทิ้ง จึงได้แต่ขอเป็นฝ่ายไปบำเพ็ญพรตที่นอกเมืองเอง หากนางไม่อาจปกป้องกระทั่งฉุนอวี๋ซื่อที่เป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตได้ เช่นนั้นใครเล่ายังจะไม่รู้ว่านางสิ้นบารมีแล้ว”

“บารมีอันใดกัน” ความฉงนเกลื่อนใบหน้าเฉิงเซ่าซาง “ก็แค่โหวกเหวกโวยวายในวังเท่านั้น จนแล้วจนรอดข้าก็ยังไม่เข้าใจ ชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าวางโตเยี่ยงนี้ไปเพื่ออะไรกันแน่”

“เด็กโง่” หลิงปู้อี๋ขยี้เรือนผมของเด็กสาวเบาๆ ใบหน้าฉาบล้นด้วยความรักถนอม “ในสายตาเจ้า ชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าก็แค่เสียงดังไปบ้าง แต่ในสายตาของผู้มีเป้าประสงค์ กลับมองเห็นทรัพย์สินนับไม่ถ้วน รวมถึงอำนาจอันไร้ขอบเขต”

เฉิงเซ่าซางมองหลิงปู้อี๋อยู่พักใหญ่ค่อยเอ่ยตอบ “…หรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าไปบำเพ็ญพรตที่นอกเมือง มิใช่เพื่อจะหนีหน้าภรรยาที่ป่าเถื่อนไร้เหตุผล หากแต่เพื่อจะสลัดความเกี่ยวข้องสินะ” มิน่าเล่า บุรุษตัวโตที่ไม่ได้ขลาดเขลาอ่อนแอผู้หนึ่ง จะออกจากบ้านเพียงเพราะกลัวภรรยาได้อย่างไรกัน

“เมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าหลายปีที่ผ่านมาชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่ากระทำเรื่องใดลงไป ก็จะไม่เกี่ยวอันใดกับเขาทั้งสิ้น เพราะว่า…เขาคือผู้ที่ยืนกรานจะปลดชายา คือผู้ที่เห็นแก่ส่วนรวมจึงได้ยอมทนกล้ำกลืนเชียวนะ” เบื้องหน้าสายตานางผุดภาพใบหน้าระรื่นเป็นกันเองดูไร้เหลี่ยมเล่ห์โดยสิ้นเชิงของท่านอ๋องผู้เฒ่า

“ไม่ได้เลวร้ายถึงขั้นที่เจ้าว่ามาหรอก เพียงแต่…” หลิงปู้อี๋เอาสองมือไพล่หลัง ทอดตามองปลายชายคาที่เหินสูงของตำหนักฉางชิวซึ่งอยู่ไม่ไกล ชุดยาวสาบตรงสีจันทร์ทรงกลดบนร่างของเขาพัดพลิ้วล้อลมฤดูสารท ท่วงทีองอาจสง่างาม “คนเราบางคน ต่อให้ตนเองไม่มีใจละโมบ ทว่ากับบุตรหลานและบริวารคนสนิท จะหักใจไม่ให้การดูแลมากหน่อยได้อย่างไรเล่า”

“ข้าเข้าใจแล้ว” เฉิงเซ่าซางผงกศีรษะ “เดิมฝ่าบาททรงหมายให้ชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าค่อยๆ ลดบทบาทหายหน้าไปเป็นพอ ไหนๆ นางก็ไม่มีปัญญาสอดมือก้าวก่ายเรื่องสำคัญ อีกทั้งเป็นอาสะใภ้ของพระองค์เอง ไม่ถึงยามจำเป็น ฝ่าบาทย่อมไม่อยากจะถือสาหาความอีก ใครจะรู้ชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่ากลับดึงดันรนหาทางตันให้ได้ เฮ้อ ฮองเฮาทรงอ่านข้อนี้ไม่กระจ่าง ถึงได้ยอมถอยให้หญิงชราผู้นี้ไปเสียหมด ที่จริงฮองเฮาควรทำเหมือนเยวี่ยเฟย…”

“เป็นข้าทูลเตือนฮองเฮาเองว่าอย่าได้เข้าแทรกเรื่องของชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่า” หลิงปู้อี๋พลันกล่าว

เฉิงเซ่าซางปากอ้าลิ้นพัน

หลิงปู้อี๋เห็นนางออกอาการเหลอหลาเช่นนี้ก็คลี่ยิ้มน้อยๆ “ข้าให้ฮองเฮาทรงอดกลั้นยามพบปะชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าเป็นการชั่วคราว ฝ่าบาทมีพระเนตรพระกรรณเฉียบคม ความเสียเปรียบนี้จะไม่ทนรับเปล่าๆ แน่”

“ชะ…เช่น…เช่นนั้นเหตุใดเยวี่ยเฟยจึงกะ…กล้า…กล้า…” เฉิงเซ่าซางถึงกับติดอ่าง

“เรื่องที่ฮองเฮามิอาจตรัส เยวี่ยเฟยตรัสได้ เพราะว่าคนสกุลเยวี่ยล้มตายไปมากกว่าบุตรชายของชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่า คุณความชอบที่สร้างไว้ก็ยิ่งใหญ่กว่าของท่านอ๋องผู้เฒ่า ตัวเยวี่ยเฟยเองยังเสี่ยงตายติดตามฝ่าบาท เผชิญอันตรายมาหลายครา ยามอยู่ต่อหน้าเยวี่ยเฟย ชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าจะมีความมั่นใจเอ่ยถึงเรื่องเก่าก่อนได้อย่างไรกันเล่า”

เฉิงเซ่าซางหน้าอกยุบพอง ยามเผยอปากอีกครารู้สึกว่าปากลิ้นฝืดเฝื่อน “…กลับกัน สกุลเซวียนของฮองเฮาทั้งมิได้สร้างคุณความชอบมากน้อยอันใด ทั้งไม่มีบุตรหลานตายเพื่อฝ่าบาทเท่าใดนัก?”

หลิงปู้อี๋ยืนหันหลังให้แสงตะวัน มองนางด้วยแววตาอันลุ่มลึก “สกุลเซวียนมีสมาชิกบางตา อีกไม่กี่วันเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของฮองเฮา ถึงตอนนั้นเจ้าก็จะได้เห็นเซวียนโหวน้องชายร่วมอุทรของฮองเฮาแล้ว เขาเข้าวังมาทุกครั้งล้วนนำอัญมณีของล้ำค่ามาจำนวนมาก น่าจะมีเก็บไว้ให้เจ้าด้วยหนึ่งชุดใหญ่”

เฉิงเซ่าซางตรึกตรองรอบหนึ่งก่อนเอ่ย “เพราะฉะนั้น…เซวียนโหวไม่ใช่ผู้ที่มีความสามารถสินะ”

“เจ้าต้องคิดในแง่ดีสิ” หลิงปู้อี๋เอ่ยปนยิ้ม “เมื่อแรกเจ้าลั่นวาจาอันห้าวหาญไว้กับโหลวเหยาไม่ใช่หรือ บอกว่า ‘มีความรกร้างเต็มสายตา จึงจะได้สำแดงฝีมือเต็มที่ สำเร็จผลงานอันเยี่ยมยอด หากมีความรุ่งโรจน์เต็มสายตา ท่านจะไปทำสิ่งใดเล่า’ นี่อย่างไรกัน ตอนนี้เห็นฝ่ายฮองเฮาขุมกำลังอ่อนด้อย เจ้าก็ท้อเสียแล้ว?”

เฉิงเซ่าซางขึงตาใส่เขาหนึ่งทีอย่างมีน้ำโห “ไม่มีทางเสียล่ะ! จะมีตระกูลฮองเฮาที่ร้ายกาจเช่นนั้นไปทำอันใด ให้มาตีเสมอกับฝ่าบาทหรือ ในเมื่อแต่งตั้งฮองเฮาพระองค์นี้ ฝ่าบาทย่อมจะมีพระดำริของพระองค์เอง ข้าไม่กลัวหรอก! อีกอย่าง มิใช่…มิใช่ยังมีใต้เท้าหลิงอยู่ทั้งคนหรือ”

“หากตัดประโยคสุดท้ายออก ถ้อยคำนี้จะมีพลังมากทีเดียว” หลิงปู้อี๋ทอยิ้ม

เฉิงเซ่าซางขบคิดแล้วหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ นางเองก็รู้สึกว่าคำพูดเมื่อครู่ช่างแข็งนอกอ่อนใน

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com