ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย
ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย เล่ม 4 บทที่ 89
“ตอนนั้นขุมกำลังของฝ่าบาทไม่แข็งแกร่ง ดินแดนที่ยึดครองมีเพียงเมืองหลวงแห่งนี้กับเมืองโดยรอบอีกเล็กน้อย ชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าคือนายหญิงที่มีอาวุโสสูงสุดในครอบครัวของฝ่าบาท มิเพียงมีศักดิ์เป็นอาสะใภ้ ยังมีบุญคุณที่เลี้ยงดู หลายปีมานี้ฝ่าบาททรงรับคนไว้ไม่น้อย มีทั้งคนบ้านเดียวกัน แม่ทัพที่ยอมจำนน ตลอดจนตระกูลใหญ่กับผู้กล้าที่มาสวามิภักดิ์เพราะเลื่อมใสในชื่อเสียง…”
“ท่านลุงวั่นกับท่านพ่อข้าก็เลื่อมใสในชื่อเสียงของฝ่าบาท จึงมุ่งตรงมาสวามิภักดิ์โดยเฉพาะ” เฉิงเซ่าซางรีบสอดแทรก
หลิงปู้อี๋หัวเราะขัน “ไฉนข้าได้ยินมาว่าช่วงหลายปีนั้นท่านพ่อเจ้าตระเวนเสาะหานายที่ปราดเปรื่องไปทางโน้นทีทางนี้ทีเล่า” อย่างวั่นซงไป่กับเฉิงสื่อที่นำกองทัพตะลอนไปทั่ว มุ่งมั่นจะเสาะหาลูกพี่ใหญ่ที่ดีสักคนให้ได้นี้ มีให้เห็นไม่บ่อยจริงๆ
เฉิงเซ่าซางออกแรงตีเขาหนึ่งที ก่อนดุว่าอย่างยิ้มแย้ม “ประโยคที่ว่า ‘มองทะลุแต่ไม่พูดเปิดโปง’ น่ะ ท่านไม่รู้จักหรือ”
หลิงปู้อี๋หัวเราะจบค่อยเอ่ยต่อ “เอาล่ะ เจ้าลองคิดจากมุมมองของผู้อื่นดู อย่างกลุ่มคนเช่นเจ้าเมืองวั่นกับบิดาเจ้า ท่ามกลางกลียุคออกเสาะหานายที่จะสามารถฝากชีวิต ทว่าผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า หากได้ยินว่าฝ่าบาททรงให้ผู้เป็นอาหย่าขาดอาสะใภ้ที่เลี้ยงดูพระองค์มาจนเติบใหญ่ ในสถานการณ์ที่ไม่รู้สาเหตุเบื้องหลัง คนกลุ่มนี้จะคิดเห็นกันเช่นไร”
“คง…คงจะ…คิดว่าฝ่าบาททรงแล้งน้ำพระทัยอยู่บ้าง”
“คนกลุ่มนี้ยังพอทำเนา พวกแม่ทัพที่ยอมจำนนส่วนใหญ่มีหนี้เลือดอยู่กับเหล่าแม่ทัพของฝ่าบาท คนไม่น้อยยังมีทหารบริวารกับทรัพย์สินจำนวนมาก เดิมทีก็หวาดระแวงทั้งวี่วันอยู่แล้ว ที่ยอมวางอาวุธก็เพราะเชื่อว่าฝ่าบาททรงมีสัจจะเมตตา ยินดีอภัยโทษให้พวกเขา แต่หากมีคนยั่วยุแม้เพียงนิด เรื่องราวจะเป็นเช่นไรก็พูดได้ยากแล้ว”
“แต่ตอนนี้…” เฉิงเซ่าซางพลันเอ่ย “แผ่นดินทั่วหล้าอยู่ในความครอบครองของฝ่าบาทถึงสามในสี่ส่วน เกียรติภูมิกับพระบารมีล้วนเหนือกว่ากาลก่อนชนิดไม่อาจเทียบเปรียบได้ ความกริ่งเกรงเมื่อแรกย่อมไม่ดำรงอยู่อีก” นี่สินะคือสาเหตุหลัก
หลิงปู้อี๋ลังเลครู่หนึ่งก่อนกล่าว “ยังเป็นเพราะชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าข่มเหงฮองเฮาเกินไป”
เฉิงเซ่าซางทำปากแบน พูดประชดประชัน “มิน่าเล่า คราวก่อนเยวี่ยเฟยตรัสว่าน้ำใจที่ชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่ามีต่อฉุนอวี๋ซื่อซาบซึ้งไปถึงชั้นฟ้า เป็นเช่นนี้จริงๆ เสียด้วย”
“หึๆ นั่นก็ไม่แน่หรอก” หลิงปู้อี๋เผยรอยยิ้มอันพิเศษเฉพาะตัว “ต่อให้เป็นแค่รองนายอำเภอเล็กๆ ผู้หนึ่ง เวลาผ่านไปนับสิบกว่าปี อำนาจในอำเภอก็หยั่งรากซับซ้อนได้เช่นกัน แล้วนับประสาอะไรกับผู้มีฐานะระดับชายาอ๋องผู้เฒ่า ข้างกายย่อมจะมีผู้สนับสนุนอยู่ ตอนที่นางทะเลาะแตกหักกับท่านอ๋องผู้เฒ่า มีคนไม่น้อยออกมาช่วยไกล่เกลี่ย ท่านอ๋องผู้เฒ่าไม่อาจสลัดนางทิ้ง จึงได้แต่ขอเป็นฝ่ายไปบำเพ็ญพรตที่นอกเมืองเอง หากนางไม่อาจปกป้องกระทั่งฉุนอวี๋ซื่อที่เป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตได้ เช่นนั้นใครเล่ายังจะไม่รู้ว่านางสิ้นบารมีแล้ว”
“บารมีอันใดกัน” ความฉงนเกลื่อนใบหน้าเฉิงเซ่าซาง “ก็แค่โหวกเหวกโวยวายในวังเท่านั้น จนแล้วจนรอดข้าก็ยังไม่เข้าใจ ชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าวางโตเยี่ยงนี้ไปเพื่ออะไรกันแน่”
“เด็กโง่” หลิงปู้อี๋ขยี้เรือนผมของเด็กสาวเบาๆ ใบหน้าฉาบล้นด้วยความรักถนอม “ในสายตาเจ้า ชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าก็แค่เสียงดังไปบ้าง แต่ในสายตาของผู้มีเป้าประสงค์ กลับมองเห็นทรัพย์สินนับไม่ถ้วน รวมถึงอำนาจอันไร้ขอบเขต”
เฉิงเซ่าซางมองหลิงปู้อี๋อยู่พักใหญ่ค่อยเอ่ยตอบ “…หรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าไปบำเพ็ญพรตที่นอกเมือง มิใช่เพื่อจะหนีหน้าภรรยาที่ป่าเถื่อนไร้เหตุผล หากแต่เพื่อจะสลัดความเกี่ยวข้องสินะ” มิน่าเล่า บุรุษตัวโตที่ไม่ได้ขลาดเขลาอ่อนแอผู้หนึ่ง จะออกจากบ้านเพียงเพราะกลัวภรรยาได้อย่างไรกัน
“เมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าหลายปีที่ผ่านมาชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่ากระทำเรื่องใดลงไป ก็จะไม่เกี่ยวอันใดกับเขาทั้งสิ้น เพราะว่า…เขาคือผู้ที่ยืนกรานจะปลดชายา คือผู้ที่เห็นแก่ส่วนรวมจึงได้ยอมทนกล้ำกลืนเชียวนะ” เบื้องหน้าสายตานางผุดภาพใบหน้าระรื่นเป็นกันเองดูไร้เหลี่ยมเล่ห์โดยสิ้นเชิงของท่านอ๋องผู้เฒ่า
“ไม่ได้เลวร้ายถึงขั้นที่เจ้าว่ามาหรอก เพียงแต่…” หลิงปู้อี๋เอาสองมือไพล่หลัง ทอดตามองปลายชายคาที่เหินสูงของตำหนักฉางชิวซึ่งอยู่ไม่ไกล ชุดยาวสาบตรงสีจันทร์ทรงกลดบนร่างของเขาพัดพลิ้วล้อลมฤดูสารท ท่วงทีองอาจสง่างาม “คนเราบางคน ต่อให้ตนเองไม่มีใจละโมบ ทว่ากับบุตรหลานและบริวารคนสนิท จะหักใจไม่ให้การดูแลมากหน่อยได้อย่างไรเล่า”
“ข้าเข้าใจแล้ว” เฉิงเซ่าซางผงกศีรษะ “เดิมฝ่าบาททรงหมายให้ชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าค่อยๆ ลดบทบาทหายหน้าไปเป็นพอ ไหนๆ นางก็ไม่มีปัญญาสอดมือก้าวก่ายเรื่องสำคัญ อีกทั้งเป็นอาสะใภ้ของพระองค์เอง ไม่ถึงยามจำเป็น ฝ่าบาทย่อมไม่อยากจะถือสาหาความอีก ใครจะรู้ชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่ากลับดึงดันรนหาทางตันให้ได้ เฮ้อ ฮองเฮาทรงอ่านข้อนี้ไม่กระจ่าง ถึงได้ยอมถอยให้หญิงชราผู้นี้ไปเสียหมด ที่จริงฮองเฮาควรทำเหมือนเยวี่ยเฟย…”
“เป็นข้าทูลเตือนฮองเฮาเองว่าอย่าได้เข้าแทรกเรื่องของชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่า” หลิงปู้อี๋พลันกล่าว
เฉิงเซ่าซางปากอ้าลิ้นพัน
หลิงปู้อี๋เห็นนางออกอาการเหลอหลาเช่นนี้ก็คลี่ยิ้มน้อยๆ “ข้าให้ฮองเฮาทรงอดกลั้นยามพบปะชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าเป็นการชั่วคราว ฝ่าบาทมีพระเนตรพระกรรณเฉียบคม ความเสียเปรียบนี้จะไม่ทนรับเปล่าๆ แน่”
“ชะ…เช่น…เช่นนั้นเหตุใดเยวี่ยเฟยจึงกะ…กล้า…กล้า…” เฉิงเซ่าซางถึงกับติดอ่าง
“เรื่องที่ฮองเฮามิอาจตรัส เยวี่ยเฟยตรัสได้ เพราะว่าคนสกุลเยวี่ยล้มตายไปมากกว่าบุตรชายของชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่า คุณความชอบที่สร้างไว้ก็ยิ่งใหญ่กว่าของท่านอ๋องผู้เฒ่า ตัวเยวี่ยเฟยเองยังเสี่ยงตายติดตามฝ่าบาท เผชิญอันตรายมาหลายครา ยามอยู่ต่อหน้าเยวี่ยเฟย ชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าจะมีความมั่นใจเอ่ยถึงเรื่องเก่าก่อนได้อย่างไรกันเล่า”
เฉิงเซ่าซางหน้าอกยุบพอง ยามเผยอปากอีกครารู้สึกว่าปากลิ้นฝืดเฝื่อน “…กลับกัน สกุลเซวียนของฮองเฮาทั้งมิได้สร้างคุณความชอบมากน้อยอันใด ทั้งไม่มีบุตรหลานตายเพื่อฝ่าบาทเท่าใดนัก?”
หลิงปู้อี๋ยืนหันหลังให้แสงตะวัน มองนางด้วยแววตาอันลุ่มลึก “สกุลเซวียนมีสมาชิกบางตา อีกไม่กี่วันเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของฮองเฮา ถึงตอนนั้นเจ้าก็จะได้เห็นเซวียนโหวน้องชายร่วมอุทรของฮองเฮาแล้ว เขาเข้าวังมาทุกครั้งล้วนนำอัญมณีของล้ำค่ามาจำนวนมาก น่าจะมีเก็บไว้ให้เจ้าด้วยหนึ่งชุดใหญ่”
เฉิงเซ่าซางตรึกตรองรอบหนึ่งก่อนเอ่ย “เพราะฉะนั้น…เซวียนโหวไม่ใช่ผู้ที่มีความสามารถสินะ”
“เจ้าต้องคิดในแง่ดีสิ” หลิงปู้อี๋เอ่ยปนยิ้ม “เมื่อแรกเจ้าลั่นวาจาอันห้าวหาญไว้กับโหลวเหยาไม่ใช่หรือ บอกว่า ‘มีความรกร้างเต็มสายตา จึงจะได้สำแดงฝีมือเต็มที่ สำเร็จผลงานอันเยี่ยมยอด หากมีความรุ่งโรจน์เต็มสายตา ท่านจะไปทำสิ่งใดเล่า’ นี่อย่างไรกัน ตอนนี้เห็นฝ่ายฮองเฮาขุมกำลังอ่อนด้อย เจ้าก็ท้อเสียแล้ว?”
เฉิงเซ่าซางขึงตาใส่เขาหนึ่งทีอย่างมีน้ำโห “ไม่มีทางเสียล่ะ! จะมีตระกูลฮองเฮาที่ร้ายกาจเช่นนั้นไปทำอันใด ให้มาตีเสมอกับฝ่าบาทหรือ ในเมื่อแต่งตั้งฮองเฮาพระองค์นี้ ฝ่าบาทย่อมจะมีพระดำริของพระองค์เอง ข้าไม่กลัวหรอก! อีกอย่าง มิใช่…มิใช่ยังมีใต้เท้าหลิงอยู่ทั้งคนหรือ”
“หากตัดประโยคสุดท้ายออก ถ้อยคำนี้จะมีพลังมากทีเดียว” หลิงปู้อี๋ทอยิ้ม
เฉิงเซ่าซางขบคิดแล้วหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ นางเองก็รู้สึกว่าคำพูดเมื่อครู่ช่างแข็งนอกอ่อนใน