เดิมนางหมายจะจูงหลิงปู้อี๋กลับตำหนักฉางชิวไปร่วมกินอาหารกลางวันกับฮ่องเต้และฮองเฮา แต่หลิงปู้อี๋บอกว่าจะต้องไปหาเหล่านายทัพหน่วยทหารส่วนพระองค์เพื่อพูดคุยเรื่องการอารักขาในงานเลี้ยงวันคล้ายวันพระราชสมภพของฮองเฮา ประเดี๋ยวเขาค่อยกลับมาหานาง หนุ่มสาวสองคนจึงได้แต่แยกจากกัน
เมื่อเฉิงเซ่าซางกลับถึงตำหนักฉางชิว ฮ่องเต้ก็กินอาหารเสร็จแล้วและกำลังดื่มสุราผลไม้อยู่ เฉิงเซ่าซางเห็นเนตรมังกรกวาดมองมา หัวใจก็สะท้านวูบ รีบทูลตัดหน้าว่าเป็นหลิงปู้อี๋เองที่ต้องการจะไปให้ได้ หาใช่นางไร้น้ำใจไม่รั้งคู่หมั้นกินอาหาร ทว่าฮ่องเต้จะอบรมผู้ใดย่อมหาเหตุได้เสมอ
ฮ่องเต้กล่าว “เจ้านึกว่าจื่อเซิ่งว่างงานเหมือนเจ้าหรือ วันทั้งวันกินๆ ดื่มๆ ไร้ทุกข์ไร้กังวล ดูเจ้าสิ เมื่อวานนอนเคลิ้มบนหมอนสูงตลอดทั้งวันจนหน้ากลมแล้ว จื่อเซิ่งเล่า นับแต่เข้าฤดูสารทมา เขาดูผ่ายผอมอีกแล้ว”
เฉิงเซ่าซางรู้สึกถึงความอยุติธรรมล้นใจ อยากพูดเหลือเกินว่า ‘ในเมื่อพระองค์ทรงห่วงใยถึงเพียงนี้ เหตุใดไม่มอบหมายงานให้เขาน้อยลงหน่อยเล่า’ กระนั้นปากกลับได้แต่เอ่ยเสียงดังฟังชัดว่า “ฝ่าบาททรงพระปรีชา! หม่อมฉันเองก็รู้ว่าใต้เท้าหลิงตรากตรำ จึงได้จัดตำรับอาหารบำรุงสำหรับฤดูสารทและเหมันต์ไว้หลายตำรับ กำลังเตรียมจะบำรุงใต้เท้าหลิงเป็นอย่างดีเลยเพคะ! อ้อ ยังมีฮองเฮาอีกพระองค์หนึ่ง หม่อมฉันก็คิดไว้เรียบร้อยแล้ว”
ฮ่องเต้แค่นเสียงฮึสองสามหน “นี่ค่อยยังชั่ว”
ฮองเฮาถอนใจอยู่ด้านข้างอย่างจนปัญญา “เอาล่ะ เจ้าไปกินอาหารเถิด นอนพักกลางวันแล้วค่อยมาหาข้า”
เฉิงเซ่าซางดุจได้รับการอภัยโทษ เผ่นแน่บราวเหินบิน
ในตำหนักปีก ไจ๋เอ่าเก็บอาหารไว้ให้เด็กสาวแต่แรกแล้ว เฉิงเซ่าซางจึงกินไปบ่นไป “ฝ่าบาททรงยังไม่พอพระทัยข้าอยู่นั่นเอง”
ไจ๋เอ่ายิ้มพลางเอ่ยแย้ง “ความจริงฝ่าบาทโปรดปรานท่านต่างหาก ผู้ที่ทรงรังเกียจจริงๆ จะตรัสด้วยมากเช่นนั้นหรือ”
เฉิงเซ่าซางถามหน้าตาขื่นขม “ไจ๋เอ่า หน้าข้ากลมแล้วจริงๆ น่ะหรือ ความจริงเมื่อวานข้า…” นางพลันตระหนกวูบ ชะงักคำพูดไป คล้ายก้นบึ้งของหัวใจถูกปลายเข็มอันเรียวบางทิ่มตำหนึ่งหน ไม่ถึงกับเลือดตกยางออก ทว่าเจ็บตื้อๆ
ไจ๋เอ่ากล่อมเสียงรัวว่าแม่นางน้อยไม่อ้วนเลยสักนิด ทั้งกล่าวคำปลอบโยนชวนฟังอีกหลายประโยค ทว่าโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวบรรยากาศกลับเย็นเยียบลงเสียแล้ว นางรู้สึกชอบกล จึงถามเฉิงเซ่าซางว่าเหตุใดไม่พูดจา เอาแต่ก้มหน้าก้มตากินข้าวเล่า
เฉิงเซ่าซางฝืนยิ้ม “ไม่มีอันใดหรอก แค่วันนี้เกิดเรื่องใหญ่เช่นนั้นขึ้น เมื่อครู่ยังไม่รู้สึก ตอนนี้ค่อยรู้สึกว่าเนื้อตัวอ่อนล้ายิ่ง”
ไจ๋เอ่าคิดว่าถูกของอีกฝ่าย จึงบอกให้เด็กสาวกินเสร็จแล้วรีบไปพักผ่อน
หลังมื้ออาหาร เฉิงเซ่าซางกลับไปที่ห้องพักของตน นางนั่งอยู่ริมหน้าต่างเป็นนานก็ยังรู้สึกว่าในห้องอุดอู้ จึงอ้างว่าจะไปตัดเบญจมาศฤดูสารทหลายกิ่งมาตกแต่งห้องสักหน่อย จากนั้นเดินออกไปสูดอากาศในลาน เหล่านางกำนัลล้วนรู้ว่าเฉิงเซ่าซางเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้กับฮองเฮา ย่อมจะไม่ขัดขวางนางตัดบุปผา
เฉิงเซ่าซางยืนบริเวณที่มีกิ่งใบแน่นขนัดและปลอดคน สงบใจตัดแต่งกิ่งส่วนเกินออกช้าๆ ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด เสียงอันคุ้นเคยของคนผู้หนึ่งพลันดังมาให้ได้ยิน “เซ่าซาง เหตุใดเจ้ามาอยู่ตรงนี้ หรือเพื่อให้ข้ามาหาง่ายขึ้น”
นางค่อยๆ หมุนตัวมา เพ่งมองบุรุษที่เยื้องย่างย้อนแสงตะวัน ดูเหมือนเขาดื่มสุรามาเล็กน้อย บนดวงหน้าอันหล่อเหลาจึงผุดระลอกสีแดงระเรื่ออันชวนหวั่นไหว
“ปกติเวลานี้เจ้าจะนอนกลางวันไม่แตะงานใดนี่นา ไฉนวันนี้ออกมาเดินเตร็ดเตร่ได้เล่า” ชายหนุ่มคลี่ยิ้มอบอุ่น แม้กระทั่งยามปลอดคนและเมาสุรานิดๆ เช่นนี้ เขาก็ยังคงมีอิริยาบถอันเข้าที ฝีก้าวไม่เร็วไม่ช้า
หลิงปู้อี๋วางมือบนหัวไหล่ของเด็กสาว แม้มีอาภรณ์กางกั้น นางก็ยังสัมผัสได้ถึงนิ้วมืออันเรียวยาวมีพลังนั้น ขอเพียงมันออกแรงเล็กน้อย ก็สามารถบีบกระดูกสะบักของนางให้แหลกไปต่อหน้าต่อตา
เขากล่าวเสียงนุ่มนวล “เป็นอะไรไป นอนไม่หลับหรือ”
เฉิงเซ่าซางบิดหัวไหล่ออกจากฝ่ามือเขาโดยไม่แสดงสีหน้า ก่อนวางกรรไกรสำริดลงช้าๆ “เหตุใดท่านไม่ถามข้าว่าฝากคำพูดถึงหยวนเซิ่นด้วยเรื่องใด”
หลิงปู้อี๋ไม่ไหวติง มีเพียงม่านตาสีน้ำตาลเข้มคู่นั้นที่หดตัววูบหนึ่ง รอยยิ้มไม่คงอยู่บนใบหน้าแล้ว
เฉิงเซ่าซางเห็นอยู่ในสายตา ในที่สุดเสี้ยวเวลาสุดท้ายนี้นางก็แน่ใจจนได้