ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย
ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย เล่ม 4 บทที่ 89
“งิ้วฉากเด็ดที่พวกท่านแสดงกันวันนี้ต้องให้อวี๋โหวกับหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าอยู่พร้อมหน้า ทั้งต้องรุดมาถึงตอนที่ชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่ากำลังราวีฮองเฮาพอดี ใต้หล้ามีเรื่องประจวบเหมาะเพียงนี้เมื่อไรกัน ชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าไม่ได้เข้าวังมาบ่อยๆ ยิ่งไปกว่านั้นนับเวลาตั้งแต่นางก้าวเข้าตำหนักจนกระทั่งพวกท่านรุดมาถึง อย่างมากก็แค่ครึ่งชั่วยาม หากบอกว่าบังเอิญอวี๋โหวหารืองานอยู่กับฝ่าบาทที่สำนักราชเลขาธิการ เช่นนั้นท่านอ๋องผู้เฒ่าในอารามซานไฉที่นอกเมืองเล่า เขาเข้าวังเฉพาะวันขึ้นปีใหม่ติดกันมาหลายปีแล้วมิใช่หรือ
ต้องเป็นเพราะผู้จัดฉากท่านนี้…เห็นเมื่อวานฉุนอวี๋ซื่อออกจากบ้านข้าด้วยสีหน้าเป็นเดือดเป็นแค้น ครั้นสะกดรอยตามนางไป รู้ว่านางไปร้องทุกข์กับชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าที่จวนหรู่หยางอ๋อง จึงคาดการณ์ได้ว่าวันนี้ชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าจะต้องเข้าวังมาหาเรื่องข้าแน่ เดิมทีข้านึกว่านี่เป็นการกระทำของฝ่าบาท ซึ่งไม่แปลกเลย ผู้เป็นเจ้าเหนือหัวอยากสืบพฤติกรรมของข้าราชบริพาร ไม่มีผู้ใดว่าอันใดอยู่แล้ว แต่เมื่อครู่ฝ่าบาทตรัสว่าเมื่อวานข้า ‘นอนเคลิ้มตลอดทั้งวัน’ หากทรงสืบพฤติกรรมคนบ้านข้าอยู่จริงๆ มีหรือจะรู้แค่ว่าฉุนอวี๋ซื่อมาเยือนช่วงบ่าย แต่กลับไม่รู้ว่าช่วงสายข้าเล่นสนุกอยู่ที่จวนสกุลวั่นสองชั่วยามเต็มๆ
ใต้เท้าหลิง เป็นท่านกระมัง เป็นท่านที่จัดฉากนี้ ฝ่าบาทน่าจะแค่มีรับสั่งให้คนไปสืบเล็กน้อยตอนที่ได้ข่าวว่ามีเรื่องที่สกุลเฉิง ผิดกับท่าน…ท่านต่างหากที่ให้คนสอดแนมข้ามาโดยตลอด ไม่ว่าเรื่องใหญ่หรือเล็ก!” เฉิงเซ่าซางหน้าอกยุบพองอย่างรุนแรง ฝืนข่มใจไม่ไปฉวยกรรไกรสำริดเล่มนั้น…แม้ว่าฉวยมาแล้วน่าจะไม่มีประโยชน์อันใดก็ตาม
หลิงปู้อี๋เอ่ยเรียบๆ “เป็นพระประสงค์ของฝ่าบาทจริงๆ ที่จะให้ชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าใช้ชีวิตสงบในบั้นปลาย”
“แต่นั่นก็เป็นเวทีงิ้วที่ท่านตั้งขึ้นอยู่ดี!” เฉิงเซ่าซางกำหมัด ตะโกนออกมาเบาๆ “ช่างเถิด ก็เหมือนที่นายหญิงเหวินซิวว่าไว้ ท่านคือสุนัขรับใช้ของฮ่องเต้! แต่ว่านะ…”
“อย่าได้เอาคำพูดของสตรีโง่เขลานั่นมาเหน็บแนมข้า” หลิงปู้อี๋สีหน้าเย็นชา “ฮองเฮาตรัสไว้ไม่ผิดเลย ปากของเจ้าสมควรจะควบคุมได้แล้ว”
เฉิงเซ่าซางถูกน้ำเสียงอันเย็นยะเยือกน่ายำเกรงนี้สยบจนขดร่างเล็กน้อย
“ใต้หล้านี้มีแต่คนที่อยากจะห้อมหน้าล้อมหลังฝ่าบาท แม้แต่บิดากับพี่ชาย รวมถึงท่านลุงวั่นของเจ้า มิใช่มุ่งหวังจะถวายรับใช้ฝ่าบาทหรอกหรือ ข้าเป็นสุนัขรับใช้ ขุนนางบุ๋นบู๊ทั่วราชสำนักใครบ้างไม่ใช่ ใครบ้างไม่อยาก หากสะอาดสูงส่งจริงๆ ไฉนไม่เอาอย่างเทพเซียนเหยียนท่านนั้น ออกจากเส้นทางขุนนาง เร้นกายไปมีอิสรเสรีตามลำพังเสียเล่า ท้องพระโรงวังทักษิณ สำนักราชเลขาธิการวังอุดร บัณฑิตในโถงถกปรัชญา นักรบในสนามฝึกยุทธ์ มีใครกันไม่อยากกลายเป็นคนสนิทของฝ่าบาท!”
เฉิงเซ่าซางถูกบารมีของเขากดดันถึงกับพูดจาไม่ออกชั่วขณะ ต้องหอบหายใจแรงๆ หลายครากว่าจะหายใจคล่องขึ้น “ได้ ท่านมีเหตุผล เช่นนั้นเหตุใดท่านต้องจับตาดูข้าด้วย นี่ไม่เกี่ยวกับฝ่าบาทกับราชสำนักแล้วกระมัง!”
“หากมิใช่ข้าเฝ้าดูเจ้าทุกเวลา จะปกป้องเจ้าจากเงื้อมมือองค์หญิงสาม รวมถึงส่งเงินให้เจ้าใช้จ่ายทันท่วงทีได้อย่างไร” หลิงปู้อี๋ไม่ยี่หระต่อข้อกล่าวหานี้
“อยู่ในวังท่านจับตาดูข้า ข้าไม่เคยมีความเห็นแย้ง ถึงอย่างไรตำหนักในก็พลิกผันสุดหยั่งคาด ข้ายังซาบซึ้งในตัวท่านมากด้วยซ้ำ!” เฉิงเซ่าซางประท้วงอย่างเร่งร้อน “แต่เมื่อวานอยู่ในบ้านของข้าเองนะ! ข้าอยู่ในบ้านจะมีเหตุไม่คาดฝันอันใดได้ ท่านยังจับตาข้าทำอะไร! ทะ…ท่าน…ท่าน…แม้แต่คนทั้งบ้านข้าก็ถูกท่านจับตาไปพร้อมกันด้วย…”
“ข้าไม่ได้จับตาคนทั้งบ้านเจ้า ข้าจับตาเจ้าเท่านั้น” หลิงปู้อี๋พลันกล่าว “แม่ทัพเฉิงแม้มีความสามารถไม่สามัญ แต่ก็ยังไม่ควรค่าให้ข้าเปลืองแรงมากเช่นนั้น”
เฉิงเซ่าซางแค่นหัวเราะติดๆ กัน “ดี ดียิ่ง ข้าเข้าใจแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดข้าจึงฝากคำพูดถึงหยวนเซิ่นท่านก็คงจะรู้แล้วสินะ”
“ก็คาดเดาไม่ยากนี่” หลิงปู้อี๋สืบเท้าอย่างแช่มช้าสง่างามมาตรงหน้าเด็กสาว แล้วเดินอ้อมตัวนางไปครึ่งรอบ เงาร่างอันสูงใหญ่ทาบทอลงมาราวจะกดทับศีรษะ เฉิงเซ่าซางถูกปกคลุมจากทุกทิศทาง ล้วนอาศัยความดื้อรั้นค้ำยันแนวสันหลังไว้ ไม่ยอมแสดงความอ่อนแอ
“เจ้าพบเจอโหลวเหยาบนถนน เห็นเขาหน้าม่อยคอตก ท่าทางไม่สู้ดี จึงบังเกิดความสงสาร ทว่าเซียวฮูหยินกระทำการรอบคอบ ไม่มีทางอนุญาตให้เจ้าติดต่อกับเขาอีกเป็นอันขาด เช่นนั้นเจ้าควรทำอย่างไรจึงจะรู้ความเป็นไปล่าสุดของเขาได้เล่า เจ้าไม่กล้าไปหาบิดากับพี่ชาย และไม่กล้าสืบข่าวเอง จึงอวดไหวพริบของตน นึกไปถึงหยวนเซิ่นซึ่งเป็นสหายสนิทร่วมสำนักเดียวกับพี่ชายของโหลวเหยา ทั้งยังมี ‘ไมตรี’ กับเจ้าอยู่บ้าง…”
“ไม่ใช่นะ ไม่ใช่!” เฉิงเซ่าซางเข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไรแทบจะในเสี้ยวพริบตา จึงชี้แจงอย่างร้อนรน “ข้าไม่มีเรื่องไม่ชัดแจ้งอะไรกับเขาเด็ดขาด นั่นมิใช่ลบหลู่ท่านหรอกหรือ ข้าไม่ทำเช่นนี้แน่! เป็นเพราะก่อนหน้านี้ตอนที่เขามาขอให้ข้าถ่ายทอดคำพูดถึงอาสะใภ้สามแทนอาจารย์หวงฝู่ เขาบอกว่าติดค้างข้าหนึ่งหน ข้าจึงคิดว่าให้เขาช่วยธุระนี้ไปเสีย จะได้เป็นอันยุติกัน!”
“เจ้ามีข้า เหตุใดยังต้องหาผู้อื่นมาช่วยอีก” ดูเหมือนน้ำเสียงของหลิงปู้อี๋จะผ่อนคลายลงบ้างแล้ว “หรือว่าใต้หล้านี้มีเรื่องอันใดที่ข้าทำไม่ได้แต่หยวนเซิ่นทำได้?! เจ้าอยากรู้ความเป็นไปล่าสุดของโหลวเหยาไม่ใช่หรือ ข้าจะบอกเจ้าเอง
โหลวเหยากับเหอเจาจวินมีช่องว่างระหว่างกันลึกซึ้งยิ่ง แม้สองคนต่างมีใจจะทำหน้าที่สามีภรรยาของตนเองให้ดี ทว่าทันทีที่มีเหตุเปลี่ยนแปลง ความปรองดองก่อนหน้านี้ก็ถูกฉีกทำลายลง หลังจากคุณชายรองโหลวกลับมาเมืองหลวง ได้หาตำแหน่งขุนนางต่างเมืองให้น้องชายร่วมอุทรตำแหน่งหนึ่ง โหลวเหยาย่อมยินดียิ่ง แต่เหอเจาจวินพะวงว่าน้องชายนางยังเยาว์ ตัวนางจึงไม่ปรารถนาไปจากเมืองหลวง ทั้งไม่ยินยอมให้โหลวเหยาไป เอาล่ะ ตอนนี้เจ้าได้รู้แล้วว่าเหตุใดโหลวเหยาจึงกลัดกลุ้มอมทุกข์ เจ้าคิดจะทำอย่างไรเล่า หรือยังอยากจะไปปลอบโยนเขาสักหน่อย?” เอ่ยมาถึงประโยคสุดท้าย หลิงปู้อี๋แทบจะหัวเราะเยาะออกมา
เฉิงเซ่าซางถ้อยคำจุกคอจนลมหายใจติดขัด
ไฉนผู้คนถึงรู้สึกกันว่าหลิงปู้อี๋มีท่วงทีเช่นวิญญูชนรุ่นก่อนนะ คนผู้นี้หากคิดจะยั่วโมโหเจ้าให้ตายคาที่ ก็จะไม่มีทางทำให้เจ้าโมโหแค่ปางตายเด็ดขาด ดังนั้น…วิญญูชนรุ่นก่อนล้วนเป็นจำพวกที่ยั่วโมโหใครตายก็ไม่ต้องชดใช้ชีวิตน่ะหรือ
เฉิงเซ่าซางรู้สึกว่าตนควรเปลี่ยนยุทธวิธีใหม่ เป็นแบบจู่โจมทีเผลอบุกไม่ให้ตั้งตัว เด็กสาวจึงสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนกล่าว “เรื่องของโหลวเหยาพักไว้ก่อนชั่วคราว…”
“อ้อ ตอนนี้พักไว้เสียแล้ว? ก่อนหน้านี้ห่วงนักห่วงหนามิใช่หรือ” สีสันในดวงตาของหลิงปู้อี๋ดุจพยับเมฆ น้ำเสียงก็พิลึกคน
เฉิงเซ่าซางท่องในใจสิบรอบว่า ไม่อดทนเรื่องเล็กจะเสียการใหญ่ แล้วกดข่มอารมณ์โมโหไว้ “พวกเรามาพูดคุยกันดีๆ อย่างไรเสียโหลวเหยาใช่ว่าเพิ่งถูกเหอเจาจวินรังแกเป็นวันแรกเสียหน่อย คาดว่าชั่วครู่ชั่วยามไม่ถึงตายหรอก…”
สีหน้าของหลิงปู้อี๋ค่อยแจ่มใสขึ้นดุจฟ้าหลังฝน
“แต่ว่าท่านจับตาดูข้าเช้าจรดค่ำมันเรื่องอะไรกัน! ท่านไม่ใช่ผู้คุมนักโทษสักหน่อย!” เฉิงเซ่าซางเกือบจะสะกดอารมณ์ไม่ไหว ร้องตะโกนออกมา “หากข้ารบเร้าซักไซ้ท่านทุกวันว่าไปเจอใคร ไปทำอะไรมาบ้าง ท่านจะชอบใจหรือไร!”
“ชายหญิงแตกต่าง เรื่องนี้จะเหมือนกันได้อย่างไรเล่า” บางครั้งพระบัญชาของฝ่าบาทก็ไม่อาจให้ใครรับรู้ได้จริงๆ หลิงปู้อี๋แสนงุนงงกับท่าทีตอบสนองอันรุนแรงของเด็กสาว “ข้าเพียงแต่อยากรู้สถานการณ์ของเจ้า ที่แท้เจ้าไม่ชอบใจเพราะเหตุใดกันแน่”
เฉิงเซ่าซางแทบอยากแหงนหน้ากู่ร้อง นางตอบอย่างจริงจัง “ข้าไม่ชอบที่ท่านให้คนมาจับตาดูข้า ท่านจงให้พวกเขาถอนกำลังไปโดยไว”
“ไม่ได้” หลิงปู้อี๋ปฏิเสธอย่างเฉียบขาด ก่อนถามอย่างฉงนอีกครา “เจ้ามีเรื่องใดไม่อาจให้ข้ารับรู้หรือ”
“ท่าน! ดี หากท่านไม่ถอนกำลังคนที่จับตาดูข้าอยู่ ต่อไปข้าจะไม่ไยดีท่านอีกเด็ดขาด!” เฉิงเซ่าซางอดไม่ได้ต้องขยี้เท้า คำรามเสียงต่ำอย่างขุ่นเคือง
“เชิญตามสบาย”
หลิงปู้อี๋ไม่ปรารถนาจะฟังนางกล่าวต่อ จึงหันแผ่นหลังให้ สะบัดแขนเสื้อจากไปอย่างปราดเปรียว
แสงตะวันฤดูสารทแผ่ไพศาลลอดผ่านดอกและใบอันแน่นขนัดลงมา ทิ้งเงาเป็นแต้มๆ เฉิงเซ่าซางยืนอยู่ท่ามกลางแต้มเงาของดอกและใบที่ตัดสลับกับกิ่งก้าน กุมกำปั้นยืนตัวแข็งดุจแมวหลีฮวาตัวจ้อยที่ฉุนเฉียวจนขนทุกเส้นชี้ชัน
* หัวหน้าเหวย หมายถึงเหวยเสี่ยวเป่า (อุ้ยเสี่ยวป้อ) เป็นตัวละครเอกเรื่องอุ้ยเสี่ยวป้อของจินยง (กิมย้ง) เติบโตมาในหอคณิกา
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือนมกราคม 66)