“ข้าไม่ใช่พรรคพวกขององค์รัชทายาทเสียหน่อย” เยวี่ยซย่าหมั่งเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ เขาเป็นแค่สหายร่วมเรียนขององค์รัชทายาทเท่านั้น ดูเหมือนใกล้ชิดกับอีกฝ่ายกว่าผู้อื่น แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะสนับสนุนสุดกำลังเพื่อให้อีกฝ่ายขึ้นครองบัลลังก์
“เจ้านายบอกว่าไม่ใช่ แต่เมื่อสองวันก่อนท่านเพิ่งได้รับจดหมายด่วนที่องค์รัชทายาทสั่งให้คนนำมาส่งให้ หากบอกว่าท่านกับองค์รัชทายาทไม่ได้คบหาสนิทสนมกันใครจะเชื่อเล่า ในค่ายใหญ่ฝั่งตะวันตกมีดวงตาหลายคู่กำลังจับจ้องอยู่ ดีร้ายเยี่ยงไรท่านก็เก็บเงียบหน่อยเถิดขอรับ” พอตันเสิงพูดถึงช่วงท้ายก็สมเพชตนเองอย่างสุดจะทน เขาเองก็ไม่อยากจู้จี้จุกจิกเหมือนมารดาเฒ่าหรอก ทว่าเจ้านายบ้านเขามีนิสัยชอบทำตามอำเภอใจ ไม่เก็บเรื่องใดๆ มาใส่ใจทั้งสิ้น
พอพูดเรื่องนี้เยวี่ยซย่าหมั่งก็ถอนหายใจด้วยความระอา
จดหมายฉบับนั้นเป็นจดหมายเร่งด่วนก็จริงอยู่ แต่ไม่ได้เขียนความลับทางการทหารจริงๆ เพียงแค่ขอให้เขาหาเวลาว่างช่วยองค์รัชทายาทตามหาญาติผู้น้องเท่านั้น…
“นี่ก็เพื่อตามหาญาติผู้น้องขององค์รัชทายาท ข้าถึงได้อุตส่าห์มาเดินถนนมิใช่หรือ” เขากล่าว
อืม ข้ออ้างนี้ไม่เลว อย่างน้อยก็ช่วยให้ข้ากินทรายน้อยลงไปได้หนึ่งวัน
ค่ายใหญ่ฝั่งตะวันตกอยู่ที่นอกชานเมืองทางทิศตะวันตก บอกว่าเปล่าเปลี่ยวรกร้างเท่าใดก็เปล่าเปลี่ยวรกร้างเท่านั้น ครั้นลมหนาวพัดมาทั่วทั้งท้องนภาก็จะเต็มไปด้วยเม็ดทรายปลิวว่อน หากอยู่ฝึกซ้อมในค่ายหนึ่งวัน ยามกลับไปกองบัญชาการทหารก็สามารถขูดทรายออกจากบนร่างได้หนึ่งชั้น ซึ่งเขาทนมามากพอแล้ว
“เจ้านายเผาจดหมายทิ้งแล้ว บอกให้ถือเสียว่าไม่มีเรื่องนี้เกิดขึ้นมิใช่หรือขอรับ” ตันเสิงเอ่ยถามเสียงเย็น
“…ความหมายของข้าคือตามหาตัวคนอย่างเงียบๆ ทำเสมือนว่าไม่มีเรื่องนี้เกิดขึ้นต่างหาก” เขาเอ่ยอย่างปากแข็ง
ญาติผู้น้องขององค์รัชทายาทคือหลี่รั่วเหยาบุตรสาวที่เกิดจากอนุภรรยาจวนฉางผิงโหว เป็นสตรีที่ขึ้นชื่อว่างดงามหยาดเยิ้ม จู่ๆ นางก็หายตัวไป เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงชื่อเสียงความบริสุทธิ์ ย่อมไม่สามารถส่งคนออกตามหาอย่างเอิกเกริกได้ จำเป็นต้องเก็บเงียบไว้ ยิ่งคนรู้น้อยถึงจะยิ่งดี ดังนั้นองค์รัชทายาทถึงตั้งใจส่งจดหมายมากำชับ ไหว้วานผู้บัญชาการกองกำลังพิทักษ์เมืองหลวงที่เก่งกาจและสามารถจัดการปัญหาได้ดีที่สุดอย่างเขาผู้นี้ ซึ่งเขาสามารถเข้าใจได้
ทว่าเหตุใดแม้แต่ภาพเหมือนสักม้วนก็ไม่ให้เขาเลยเล่า ครั้งก่อนที่เจอหน้านางก็ผ่านมานานเท่าใดแล้ว เขาจะไปจำว่าหลี่รั่วเหยามีรูปโฉมเช่นไรได้อย่างไรกัน!
อีกอย่างไม่มีภาพเหมือนก็แล้วไป แต่ต้นสายปลายเหตุที่ทำให้คนหายตัวไปก็ไม่พูดถึง เบาะแสสักนิดก็ไม่มี บอกเพียงแค่ไปเที่ยวเล่นที่หมู่บ้านชนบท กระทั่งหนึ่งเดือนให้หลังถึงเพิ่งรู้ว่านางหายตัวไป พอส่งคนไปไล่ตามสืบกลับไม่เจอเบาะแสแม้แต่นิดเดียว ในเมื่อไม่มีเบาะแสแล้วแน่ใจได้อย่างไรว่าคนอยู่ที่ซุยโจว แล้วคนหายตัวจากเมืองหลวงมาถึงซุยโจวได้อย่างไร เขาเข้าใจว่าเรื่องนี้พัวพันถึงความบริสุทธิ์ผุดผ่องของหญิงสาว ไม่สะดวกจะบอกอันใดมากมาย แต่ไม่บอกอันใดเลย แล้วจะให้เขาตามหาอย่างไรกันเล่า นี่มันกลั่นแกล้งกันมิใช่หรือ
ดังนั้นเขาจึงทำเหมือนไม่มีเรื่องนี้เกิดขึ้นไปเสียเลย
จะมาโทษว่าเขาเย็นชาไม่ได้นะ เพราะหลี่รั่วเหยาไร้ซึ่งข่าวคราวจนถึงบัดนี้ก็เป็นเวลาสองเดือนแล้ว ยังมีอันใดให้ตามหาอีก
ฉางผิงโหวซึ่งรับตำแหน่งลอยๆ เป็นคนนิสัยใจคอดี ไม่เคยผูกอาฆาตพยาบาทกับใคร คนในครอบครัวก็เรียบง่าย อนุภรรยาไม่ก่อปัญหาสร้างความวุ่นวายแม้แต่ครึ่งคน โอกาสที่จะผูกความแค้นกับผู้อื่นก็ไม่มี ดังนั้นตัดเรื่องที่ว่าศัตรูของฉางผิงโหวลงมือปองร้ายออกไปได้เลย นอกจากนั้นถึงแม้บุตรสาวอนุภรรยาจวนโหวจะพาลพาโลเอาแต่ใจเพียงใด แต่ก็มีตำหนักบูรพา* เป็นที่พึ่ง ใครจะกล้าแตะต้องนาง หากมีคนใจกล้าเทียมฟ้าลักพาตัวนางไปก็ควรจะเรียกร้องผลประโยชน์จากจวนโหว แต่ในความเป็นจริงกลับไม่มีผู้ใดมาเรียกให้ไถ่ตัวคนเลย ด้วยเหตุนี้เขาจึงแทบจะมั่นใจได้ว่าเรื่องนี้ง่ายดายยิ่ง นั่นคือนางมีชายในดวงใจที่ฐานะไม่เหมาะสมคู่ควรกัน จึงหนีตามผู้อื่นไปแล้ว