“จะหาอย่างไรหรือขอรับ” ตันเสิงเอ่ยถามอีกครั้ง ไม่สามารถไล่ถามผู้คนอย่างโจ่งแจ้งใหญ่โตได้ ซ้ำไม่มีภาพเหมือนให้คนใต้บังคับบัญชาไปเสาะหาอย่างลับๆ…สรุปแล้วจะให้หาอย่างไรกันเล่า หรือว่าจะต้องส่งองครักษ์ลับกลับเมืองหลวงไปลอบตรวจสอบอย่างละเอียดจริงๆ เรื่องนี้ไม่ยาก แต่ต้องถามว่าควรค่าพอให้ทำหรือไม่
“เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับโชคชะตา สวรรค์ลิขิต จะใจร้อนไม่ได้” เยวี่ยซย่าหมั่งเอ่ยเป็นเรื่องเป็นราว
ถึงแม้เขาจะจำไม่ได้ว่าหลี่รั่วเหยารูปโฉมเป็นอย่างไร แต่ก็เคยได้ยินเสียงเล่าลือเกี่ยวกับความก้าวร้าวเอาแต่ใจของนางมาบ้าง รัชทายาทเองก็ไม่ค่อยจะชื่นชอบนางสักเท่าใด แม้เขาจะหาตัวนางไม่เจอจริงๆ คิดว่ารัชทายาทเองก็คงไม่ถือโทษเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นพักนี้เรื่องของตัวเขาเองก็มีเยอะแยะพออยู่แล้ว คงไม่อาจทุ่มสมาธิไปที่การตามหาคนมากเกินไปนัก
ดังนั้นใช้เป็นข้ออ้างเพื่อเดินเที่ยวก็พอได้ แต่จะให้เขาหาตัวคนจริงๆ น่ะหรือ เขาไม่ทำหรอก
หางตาของตันเสิงกระตุกสองที เจ้านายเห็นวาจาที่เขาพูดเป็นดั่งการผายลมโดยสิ้นเชิง
“เจ้านายต้องคิดให้กระจ่างนะขอรับว่าจะยืนอยู่ฝ่ายใด แล้วค่อยคิดว่าสุดท้ายแล้วจะตามหาคนผู้นี้หรือไม่” รัชทายาทครองตำแหน่งโอรสซึ่งถือกำเนิดจากฮองเฮา แต่องค์ชายแปดก็มีชื่อเสียงดีงาม บัดนี้รัชทายาทตกเป็นรอง หากฝ่ายองค์ชายแปดไม่รุกไล่โจมตีต่อไป องค์ชายแปดไหนเลยจะมีโอกาสคว้าบัลลังก์ไปครองได้
จากที่ตันเสิงเห็น แม้กินลมกินทรายอยู่ที่ซุยโจวจะลำบากยากเข็ญ แต่ไม่ถูกดึงเข้าไปเกี่ยวข้องในสงครามแย่งชิงบัลลังก์ของกลุ่มคนทั้งสองฝ่ายได้ แล้วจะไม่ใช่เรื่องดีได้อย่างไรกัน ดังนั้นอย่าก่อเรื่องในช่วงเวลานี้ นั่นจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดแล้ว
“ยืนอันใดกัน ข้านั่งไม่ได้หรือไร” เยวี่ยซย่าหมั่งกล่าวอย่างฟึดฟัด
ตันเสิงสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะเอ่ยอีกคราว่า “ในเมื่อเจ้านายไม่มีเจตนาจะตามหาคน พวกเราก็กลับค่ายกันเถิดขอรับ”
“ใครบอกว่าข้าไม่มีเจตนาจะตามหาคน ไม่เห็นหรือว่าข้ากำลังให้ลูกตามองหาอยู่” ดวงตาของเขายุ่งวุ่นจะตายไป
ตันเสิงลอบกลอกตาหนึ่งที ขณะที่กำลังจะเปิดปากขึ้นอีกครา กลับได้ยินผู้เป็นเจ้านายพูดว่า…
“เอ๊ะ มีคนหน้าคุ้นด้วย พวกเราเข้าไปดูหน่อยซิ” พูดจบเยวี่ยซย่าหมั่งก็เดินตัวปลิวออกไปราวกับสายลม เร็วไวเสียจนตันเสิงแม้แต่จะห้ามปรามก็ยังทำไม่ได้ เขายืนอยู่ที่เดิม ถลึงตาใส่โม่เทาซึ่งหลบอยู่อีกทางหมายจะทำให้ตนเองล่องหน ริมฝีปากตันเสิงขยับเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา จากนั้นก็ไล่ตามเจ้านายของตนเองไป
“ถลึงตาใส่ข้าทำอันใดกัน” กระทั่งคนเดินจากไปไกลหมดแล้วโม่เทาถึงค่อยบ่นพึมพำด้วยความน้อยใจ เขานิ่งเงียบไม่ส่งเสียงก็ยังผิดหรือ จะให้เขาใช้ชีวิตอย่างไรกันเล่า
“คือว่า…คุณชายจะซื้อซาลาเปาหรือไม่” ซั่นซือฮุ่ยฉีกยิ้ม ทว่าปากถามเท้ากลับถอยหลัง
“คุณชายยังอยากจะซื้ออย่างอื่นด้วย” ชายหนุ่มตรงหน้าสวมใส่ชุดคลุมสีแดงเข้มกุ๊นขอบขนจิ้งจอกมีลักษณะของผู้ร่ำรวยสูงศักดิ์ทั่วทั้งสรรพางค์กาย แต่น่าเสียดายที่รูปร่างไม่ดี เหยียบย่ำอาภรณ์ตัวนี้เสียเปล่าแล้ว กอปรกับรอยยิ้มหื่นกระหายอย่างไม่ปกปิดแม้แต่เศษเสี้ยวบนใบหน้าชวนให้คนรีบร้อนอยากจะหลีกหนี
“…คุณชาย ข้าขายแค่ซาลาเปาเท่านั้น” ซั่นซือฮุ่ยยิ้มจนใบหน้าแทบจะค้างแข็งอยู่แล้ว
ลมแรงยิ่ง อากาศหนาวเย็น นางเหลือแค่ซาลาเปาลูกสุดท้ายแล้ว แค่อยากจะรีบขายให้หมดแล้วรีบกลับบ้าน ใครจะรู้เล่าว่าดันมีเติงถูจื่อ โผล่มาเช่นนี้
นางยอมรับว่าใบหน้าที่ได้ครอบครองหลังจากย้อนเวลามาดวงนี้สะสวยงดงามอย่างแท้จริง แต่นอกจากบนหน้าผากมีรอยแผลแล้ว นางยังถือโอกาสวาดปานใหญ่ๆ รูปวงกลมลงบนแก้มด้านขวาด้วย ลูกค้าคนอื่นๆ เห็นแล้วครั้งหนึ่งก็ไม่อยากจะเห็นอีกเป็นครั้งที่สอง เหตุใดคนผู้นี้กลับทำเหมือนมองไม่เห็นเล่า