บิดามีฐานะเป็นเจ้าเมือง คาดหวังว่าจะได้โยกย้ายกลับเมืองหลวงมาโดยตลอด ย่อมอยากจะรู้จักกับขุนนางในเมืองหลวงเอาไว้มากๆ โดยเฉพาะลูกหลานผู้สูงศักดิ์ที่มีตำแหน่งสำคัญๆ ไปอยู่ที่ใดก็เป็นที่ยอมรับอย่างเยวี่ยซย่าหมั่ง หากผู้เป็นบุตรชายอย่างเขาทำตัวเป็นตัวถ่วงเกรงว่าคงจะถูกสั่งสอนด้วยกฎประจำตระกูล
“ข้าเองก็อยากกินซาลาเปาอยู่พอดี ในตะกร้าของนางดูเหมือนจะเหลืออยู่แค่ลูกเดียว ไม่ทราบว่าคุณชายเฉินจะยอมสละให้ข้าได้หรือไม่” เยวี่ยซย่าหมั่งอมยิ้ม แม้จะยิ้มอย่างไม่จริงใจแต่ก็ยังสามารถทำให้คนรู้สึกเจริญหูเจริญตาได้
เฉินซีย่อมไม่มีทางแย่งซาลาเปากับเยวี่ยซย่าหมั่งอยู่แล้ว มิหนำซ้ำสิ่งที่เขาอยากจะซื้อก็ไม่ใช่ซาลาเปาเสียหน่อย จึงรีบยิ้มประจบพร้อมเอ่ยว่า “สละอันใดกันเล่า ก็แค่ซาลาเปาลูกเดียวเอง” พูดจบเขาก็เอ่ยถามอย่างคล้อยตามสถานการณ์ว่า “ขอซื่อจื่อให้เกียรติข้าได้เป็นเจ้ามือดีกว่า พวกเราไปกินของว่างกันที่หอสุราหรือว่าไปชมละครที่โรงน้ำชาดี?”
ถ้าสามารถฉวยจังหวะนี้ตีสนิทกับเยวี่ยซย่าหมั่งได้ บิดาคงจะชื่นชมเขามากขึ้นอีกนิดเช่นกัน
“ไม่ล่ะ ดึกมากแล้ว ควรกลับเสียที”
ใบหน้าของเฉินซีเต็มไปด้วยความเสียดาย ขณะกำลังจะเอ่ยโน้มน้าวอีกครั้งนั้น เยวี่ยซย่าหมั่งก็เอ่ยขึ้นอีกคราว่า “ข้าได้ยินเจ้าเมืองเฉินบอกว่าท่านกำลังเตรียมเข้าร่วมการสอบขุนนางรอบฤดูใบไม้ผลิในปีนี้ อย่าทำให้เจ้าเมืองเฉินผิดหวังเป็นอันขาดเล่า”
พอได้ยินเรื่องการสอบขุนนางเฉินซีก็ห่อเหี่ยวไร้เรี่ยวแรงไปทั้งร่าง แต่ในเมื่ออีกฝ่ายพูดถึงขั้นนี้แล้ว เขาก็ไม่มีเหตุผลให้เดินเที่ยวเตร่ต่อไป ด้วยเหตุนี้จึงรีบร้อนขอตัวลา
กระทั่งคนเดินจากไปไกลแล้วเยวี่ยซย่าหมั่งก็หลุบตาลงด้วยความหงุดหงิดใจ จดจ้องซั่นซือฮุ่ยที่จนถึงบัดนี้ก็ยังคงจ้องมองเขาอยู่
“แม่นาง มองพอแล้วหรือยัง”
เมื่อเขาพูดเช่นนี้ซั่นซือฮุ่ยถึงได้ตื่นขึ้นจากภวังค์ในฉับพลัน แต่นางไม่มีท่าทางกระดากอายเลยสักนิด ไม่รู้สึกว่าการจ้องเขม็งของตนเองเป็นเรื่องเสียมารยาทยิ่งแม้แต่น้อย ก็ในเมื่อเขามีหน้าตาเหมือนกับชายหนุ่มที่เรียกให้นางหยุดที่หน้าประตูตึกของบริษัทไม่มีผิด
เพราะชายหนุ่มคนนั้นเรียกให้นางหยุด นางเลยถูกฟ้าผ่าจนสูญสิ้นสติสัมปชัญญะไป หลังจากนางฟื้นคืนสติก็มาอยู่ที่ซุยโจวแล้ว นางไม่มีความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมอยู่เลย นอกจากนั้นนางยังทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง ย้อนเวลามาอยู่ในโลกนี้อย่างไม่มีเหตุผล ถึงแม้นางจะพยายามใช้ชีวิตเพียงใด แต่ก็ยังรู้สึกปรับตัวเข้ากับที่นี่ไม่ได้ คิดแต่อยากจะกลับบ้านเท่านั้น
ทว่าตอนนี้นางกลับพบคนที่หน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกับชายหนุ่มคนนั้น บางทีนี่อาจจะเป็นกุญแจสำคัญในการได้กลับบ้านก็เป็นได้ แล้วนางจะปล่อยเขาไปได้อย่างไรเล่า
“คือว่า…ขออภัย ขอถามว่าท่านรู้จักข้าหรือไม่” อึกอักอยู่พักใหญ่ในที่สุดนางก็เปิดปากเอ่ย วาจาที่ถามออกไปฟังดูน่าขบขันยิ่ง แต่นางก็ไม่รู้เหมือนกันว่ายังจะถามเช่นไรได้อีก
จริงอยู่ที่พวกเขาทั้งสองคนหน้าตาเหมือนกันมาก แต่การแต่งกายกลับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง นางก็ทำได้เพียงลองถามดูเท่านั้น
พอถูกนางเอ่ยถามเช่นนี้เยวี่ยซย่าหมั่งก็เลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นสูง รอยยิ้มซึ่งแต่เดิมยิ้มไปตามมารยาทกลับมีแววรื่นเริงเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย
หญิงสาวที่อยากใกล้ชิดเขามีไม่น้อย ถ้อยคำเกี้ยวเขาก็เคยได้ยินมาเป็นร้อยๆ แบบ แต่คนที่ถามเช่นนี้เพิ่งจะมีนางเป็นคนแรก
“ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะถามว่าข้าเคยเจอเจ้าหรือไม่” วิธีถามเช่นนี้จะชวนคุยได้ง่ายกว่า เขาช่วยแก้ไขให้นางด้วยความปรารถนาดี
ดวงตาทั้งสองข้างของซั่นซือฮุ่ยเปล่งประกายในชั่วพริบตา นางขยับเข้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าวแล้วเอ่ยถามอย่างรีบร้อนและเร็วรี่ “หมายความว่าท่านเคยเจอข้า?”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 9 ก.ย. 68