บทที่ 1-2 แม่นางไม่สำรวมตัว
เยวี่ยซย่าหมั่งส่งเสียงเฮอะหนึ่งที ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้มกว้าง “ไม่เคย”
“…ไม่เคย?” นางนิ่งงันไปเล็กน้อย
“ใช่” หลังจากเขาเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้มก็รอคอยให้นางชวนคุยต่อด้วยความมีน้ำอดน้ำทนอย่างหาได้ยากยิ่ง ชวนพูดคุยว่าเคยเจอเขาที่ใด แล้วมีใจให้เขาได้อย่างไร
ทว่ากลับไม่มี…
หญิงสาวตรงหน้าราวกับบุปผาที่เหี่ยวเฉาลงในเสี้ยวพริบตา ความหดหู่และผิดหวังปกคลุมดวงหน้างามแฉล้มของนางราวกับเป็นม่านสีดำ
อาการตอบสนองนี้ของนางอยู่นอกเหนือความคาดหมายของเยวี่ยซย่าหมั่ง คล้ายกับว่านางไม่ได้คิดจะตีสนิทกับเขาจริงๆ แค่จำเขาสลับกับผู้อื่นเท่านั้น แต่เขารูปโฉมหล่อเหลาปานนี้ ทั้งโดดเด่นเป็นหนึ่งไม่มีสองปานนี้ ในใต้หล้ายังจะมีใบหน้าที่คล้ายคลึงกันเช่นนี้อีกได้อย่างไร
ซั่นซือฮุ่ยหลุบตาลงด้วยความเสียใจ ผ่านไปพักใหญ่กว่าจะเรียกความกล้าขึ้นมาอีกครั้ง คิดจะย้ำให้แน่ใจอีกรอบ แต่ทันใดนั้นก็คิดขึ้นมาได้ว่าใบหน้าของนางตอนนี้ไม่ใช่ใบหน้าเดิมของนาง นางถามเช่นนี้ไปไม่เสียเวลาเปล่าหรอกหรือ
ยิ่งไปกว่านั้นนางย้อนเวลามาก็ไม่ได้หมายความว่าผู้อื่นเขาจะย้อนเวลามาเหมือนกัน ดูสิ ลักษณะท่วงท่าของคนเขาเป็นธรรมชาติออกปานนี้ เมื่อครู่ชายผู้นั้นยังเรียกเขาว่า ‘ซื่อจื่อ’ อีก นี่ก็หมายความว่าคนเขาเกิดและเติบโตที่นี่มิใช่หรือ
นางช่างเป็นคนโง่ที่โง่เขลาจนสวรรค์มิอาจให้อภัยได้จริงๆ!
หากความหวังเมื่อครู่นี้ยิ่งใหญ่เท่าใด ความผิดหวังของซั่นซือฮุ่ยในตอนนี้ก็ล้ำลึกเท่านั้น ราวกับเรี่ยวแรงถูกดึงออกไปในชั่วอึดใจ นางห่อเหี่ยวใจเสียจนอยากนอนกองอยู่บนพื้นไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น
แต่นางทำเช่นนั้นไม่ได้ บนพื้นหนาวเย็นยิ่ง นางจะป่วยไข้เอาได้ พอถึงตอนนั้นก็ต้องเสียเงินอีก ไม่นานคงต้องกินดินแทนข้าว
ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรนางก็ต้องพยายามมีชีวิตต่อไป หาไม่แล้วหากวันใดที่นางพบว่าสามารถกลับบ้านได้ แต่กลับป่วยใกล้ตาย เช่นนั้นไม่กระอักเลือดแย่หรือ
ถูกต้อง ไม่เป็นไร สวรรค์ไม่ตัดหนทางรอดชีวิตของคนหรอก สุดท้ายแล้วข้าคงหาทางกลับบ้านจนได้
ดวงตาของเยวี่ยซย่าหมั่งจดจ้องการเปลี่ยนแปลงของสีหน้าแววตาหญิงสาวตาไม่กะพริบ ประหนึ่งม่านดำลอยขึ้นมาจากหุบเหวลึก สีหน้านางคล้ายกับกระชากความผิดหวังทิ้งไป รอยยิ้มเจิดจรัสบนดวงหน้างามหยดย้อยประหนึ่งแสงอาทิตย์สว่างเจิดจ้าที่ส่องสว่างทะลุเมฆามืดครึ้ม พุ่งเข้าใส่ร่างของเขาอย่างไม่มีกักเก็บแม้แต่เศษเสี้ยวเดียว
เยวี่ยซย่าหมั่งผงะอึ้งไป ในใจกระสับกระส่ายเล็กน้อย
ยามนี้ซั่นซือฮุ่ยหยิบซาลาเปาลูกหนึ่งออกมาจากตะกร้า ยื่นไปตรงหน้าเขาอย่างนอบน้อม แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มแฝงความเอียงอายอยู่หลายส่วน “คุณชาย ขอบคุณมากที่เมื่อครู่ท่านช่วยข้าไว้ แต่ข้าไม่มีสิ่งใดสามารถตอบแทนได้ มีเพียงซาลาเปาลูกนี้มอบให้ท่าน”
เยวี่ยซย่าหมั่งจ้องมองสีหน้าแย้มยิ้มของนาง รู้สึกว่านางไม่มีความขัดเขินสำรวมเนื้อสำรวมตัวเลยสักนิด แต่กลับน่าดึงดูดเป็นพิเศษ
“คุณชาย?” ซั่นซือฮุ่ยเห็นเขายืนนิ่งไม่ยอมยื่นมือมารับ จึงมองซาลาเปาในมือแวบหนึ่ง จากนั้นเอ่ยอธิบายว่า “ถึงซาลาเปาลูกนี้จะดูไม่น่ากิน แต่จริงๆ แล้วอร่อยนะ”
นางทำซาลาเปาอย่างสุดความสามารถแล้ว แต่เงินที่กว่านางจะเก็บครบได้อย่างยากลำบากก็พอจะซื้อได้แค่วัตถุดิบเหล่านี้ แม้จะทำออกมาไม่น่ามอง แต่อย่างน้อยก็กินได้
สายตาของเยวี่ยซย่าหมั่งเคลื่อนจากมือทั้งสองข้างที่ยกสูงของนางแล้วค่อยๆ ตกลงบนซาลาเปาอย่างช้าๆ ต่อมาก็มองไปยังเสื้อผ้าอาภรณ์หยาบๆ ที่เต็มไปด้วยรอยปะชุนทั่วทั้งตัวของนาง สุดท้ายหยุดลงที่ดวงหน้างามละมุนแฝงความเย้ายวนใจดวงนั้น ในใจมีความรู้สึกขัดแย้งบางอย่าง
แต่ยังไม่ทันรอให้เยวี่ยซย่าหมั่งได้ขบคิดอย่างละเอียดก็มีคนเสียงดังโหวกเหวกคนหนึ่งตะโกนลั่นขึ้นมา…