“เจ้าคือนางหนูสกุลซั่นมิใช่หรือ!”
ซั่นซือฮุ่ยตื่นตกใจ หันหน้าขวับกลับไปมอง นางรีบยัดซาลาเปาใส่มือเยวี่ยซย่าหมั่ง หลังจากยอบกายคารวะแล้วก็เดินไปด้านหลังด้วยฝีเท้าเร็วรี่ ก่อนจะเอ่ยปากเสียงหวานหยดย้อย “พี่สาวทั้งสองตามหาข้าหรือ”
พอเยวี่ยซย่าหมั่งได้ยิน คิ้วเข้มก็ยกสูงขึ้นกว่าเดิม พี่สาว? ท่านป้าสองคนนี้ให้เรียก ‘หมัวมัว’ ก็ยังไม่ถือว่าเกินไปด้วยซ้ำ แต่นางกลับเรียก ‘พี่สาว’ อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ…ร้ายกาจนัก ขนาดข้าที่โอ้อวดตนเองว่าเจอคนพูดภาษาคน เจอผีพูดภาษาผีก็ยังไม่สามารถทำได้ถึงขั้นนี้เลย
เขาครุ่นคิดพร้อมกับสังเกตการณ์ไปด้วย ครั้นแล้วก็เห็นว่าหมัวมัวทั้งสองคนเดิมทีท่าทางดุดันไม่ได้มาดี แต่ครั้นนางเปิดปากเรียกว่า ‘พี่สาว’ โทสะขุมนั้นก็สลายไปราวๆ ครึ่งหนึ่ง ต่อมาก็ไม่รู้ว่าพูดคุยอันใดกัน ถึงกับเย้าแหย่หมัวมัวทั้งสองจนหัวเราะร่วน จากนั้นทั้งสามคนก็เดินไปยังอีกฝั่งของถนนอย่างสนิทสนมราวกับเป็นพี่น้องกัน
นาง…ยอดเยี่ยมมากจริงๆ แต่น่าเสียดายที่ไม่มีโอกาสได้บอกนางว่ารอยปานบนใบหน้าของนางสีซีดลงแล้ว คราวหน้าต้องวาดให้เข้มๆ หน่อย
เยวี่ยซย่าหมั่งหลุบตาลงมองดูซาลาเปาในมือ คิดว่าเมื่อครู่ตอนอยู่ที่โรงน้ำชาก็ไม่ได้กินอะไรเลย เขาจึงกัดเสียเลยหนึ่งคำแล้วเคี้ยวสองครั้ง ใบหน้าอันหล่อเหลาปานหยกงามแปรเปลี่ยนเล็กน้อย ต่อมาก็ขยับหน้าเข้าไปดมใกล้ๆ ดวงตาดอกท้อคู่นั้นเบิกกว้างจ้องซาลาเปาในมืออย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา
“เจ้านาย มีพิษหรือขอรับ” โม่เทาเห็นสีหน้าแววตาของเยวี่ยซย่าหมั่งแปลกไปจึงรีบเดินเข้าไปเอ่ยถามเบาๆ
“เจ้าสิมีพิษ” ครู่ใหญ่กว่าเยวี่ยซย่าหมั่งจะเอ่ยตอบด้วยสุ้มเสียงแหบแห้งเล็กน้อย
โม่เทาหน้าง้ำงอ อย่าปฏิบัติแตกต่างกันถึงเพียงนี้ได้หรือไม่ ข้ากับตันเสิงเป็นฝาแฝดกัน แต่ดันรังเกียจรังงอนข้าอยู่คนเดียว! ช่างเถิด เจ้านายไม่คิดเล็กคิดน้อยกับข้า สามารถพูดกลั่นแกล้งข้าได้ เช่นนั้นก็แสดงว่าซาลาเปาไม่มีพิษ ดังนั้นการที่เจ้านายแสดงสีหน้าเช่นนี้ออกมาต้องเป็นเพราะ…
“หากไม่อร่อยก็ทิ้งไปเถิดขอรับ” เห็นซาลาเปานั่นแล้ว ไม่ว่าจะราคาถูกสักเท่าไร หรือไม่ว่าเขาจะหิวโหยมานานถึงเพียงใด เขาก็ไม่อยากจะกินหรอก
“ไม่…นี่เลิศรสเป็นที่สุด” เยวี่ยซย่าหมั่งลิ้มรสอีกคำอย่างอดใจไม่ไหว นี่เป็นรสชาติที่เขาถวิลหามาเนิ่นนาน ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่าจะได้พบเจอกับนางในชาตินี้…ที่ซุยโจวแห่งนี้
“จริงหรือขอรับ”
“สิ้นวสันต์ธาราบุปผาล้วนราร้าง ไกลห่างปานสวรรค์กับแดนดิน”
“หา?” เจ้านายเจ้าบทเจ้ากลอนเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน แค่กินซาลาเปาก็ต้องร่ายกวีด้วย ข้าต่อสนทนาไม่ถูกนะ
เยวี่ยซย่าหมั่งยัดซาลาเปาคำสุดท้ายเข้าปาก มองไปทางถนนฝั่งตรงข้ามที่ไม่เห็นเงาร่างคนแล้ว ก่อนจะหลับตาลงเล็กน้อย ถอนหายใจหนึ่งเฮือกโดยไม่มีใครสังเกตเห็น “ไปกันเถิด กลับไปกินทราย”
โม่เทาสีหน้างงงวย ไม่เข้าใจว่าเหตุใดความคิดของเจ้านายถึงได้เปลี่ยนรวดเร็วถึงเพียงนี้ เพิ่งจะกินซาลาเปาเสร็จก็อยากจะกินทรายต่อ…ความเจริญอาหารนี้ชวนให้คนจับทางไม่ถูกจริงๆ