เมืองซุยโจวแยกฝั่งเมืองออกตามสองฝั่งแม่น้ำซุยเหอ แบ่งออกเป็นเมืองฝั่งตะวันออกและตะวันตก ริมแม่น้ำของเมืองฝั่งตะวันออกเป็นแหล่งละลายทรัพย์ โรงละคร โรงน้ำชา และหอคณิกาล้วนตั้งอยู่ติดๆ กัน หลังเข้าสู่ยามราตรียิ่งจุดโคมไฟสว่างไสวราวกับภาพวาด ทุกหนแห่งล้วนคึกคักครื้นเครง เจริญรุ่งเรืองไม่แพ้เมืองหลวง
“ท่านผู้บัญชาการเชิญด้านนี้ขอรับ ท่านเจ้าเมืองรออยู่ที่ห้องพิเศษชั้นสองนานแล้ว”
เยวี่ยซย่าหมั่งเพิ่งจะลงจากรถม้าก็มีคนมาถึงตรงหน้าแล้ว หลังจากประสานมือคารวะแล้วก็ผายมือทำท่าทางเชื้อเชิญไปยังด้านในหอวั่นเซียง
เยวี่ยซย่าหมั่งชำเลืองมองคนผู้นั้นอย่างเกียจคร้านแวบหนึ่ง อมยิ้มพลางเอ่ยว่า “ลำบากท่านรองเจ้าเมืองจริงๆ ที่ต้องมายืนตากลมหนาวเย็นรออยู่ที่นี่”
“ใต้เท้าพูดอันใดกัน ได้มารอใต้เท้าที่นี่ถือเป็นเกียรติของผู้น้อยขอรับ” รองเจ้าเมืองเหลียนอายุใกล้ห้าสิบปี ใบหน้าเหี่ยวย่นแทบจะแย้มยิ้มจนกลายเป็นบุปผาบาน
เยวี่ยซย่าหมั่งหันหน้าหนีตามสัญชาตญาณ ไม่อยากให้ระคายสายตา จากนั้นก็รีบก้าวเข้าไปในหอวั่นเซียงทันที
ภายในห้องโถงใหญ่หญิงคณิการูปโฉมหลากหลายกำลังใช้ฝีมือทั้งหมดที่มีเพื่อเรียกแขก กลิ่นบุปผากลิ่นสุราคละคลุ้งปะปนกันกลายเป็นกลิ่นคาวโลกีย์ เสียงโหวกเหวกและเสียงพูดคุยทำให้ฝีเท้าของเยวี่ยซย่าหมั่งเคลื่อนไหวเร็วยิ่งกว่าเดิม
“ข้ายังนึกว่าเจ้านายไม่ค่อยอยากจะมาสักเท่าใดเสียอีก นึกไม่ถึงว่ากลับเดินอย่างรีบร้อนปานนี้” โม่เทาซึ่งตามอยู่ข้างหลังอดไม่ไหวเอ่ยขึ้น “เปิดหูเปิดตาแล้วหรือขอรับ”
ตันเสิงไม่ทันเอ่ยตอบก็ได้ยินเยวี่ยซย่าหมั่งพูดด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ “ไม่ใช่ แต่สมองเจ้าใกล้จะเปิดแล้ว”
ดวงตาข้างใดของโม่เทาที่เห็นว่าเขารีบร้อนอดใจรอไม่ไหวกัน เจ้านี่สมองไม่ดี กระทั่งจมูกกับหูก็ใช้งานไม่ได้ทั้งคู่เลยหรือ ลองดมดูเสียบ้างว่าทั่วทั้งห้องนี้มีกลิ่นเช่นไร หากไม่ใช่เพราะอยากสะสางงานให้เสร็จโดยเร็ว ให้ตายเขาก็ไม่มาเหยียบที่นี่หรอก
โม่เทาได้ยินดังนั้นก็ใช้สายตาสอบถามตันเสิงว่าเจ้านายหมายความว่าอย่างไร แต่ตันเสิงกลับกลอกตาใส่เขาตรงๆ
ไร้หนทางเยียวยาแล้ว พูดมากไปก็เปล่าประโยชน์
เยวี่ยซย่าหมั่งเองก็คร้านจะสนใจโม่เทาเช่นกัน รีบเร่งฝีเท้าเดินขึ้นไปบนชั้นสอง พอเปิดประตูออกก็ได้กลิ่นกำยานที่ชวนให้หัวคิ้วของเขาขมวดมุ่น ทำให้เขาเดินไปริมหน้าต่างอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง จากนั้นก็เปิดหน้าต่างออกแล้วนั่งลงที่ริมหน้าต่างทันที
แม้ลมราตรีจะเย็นยะเยือกเล็กน้อย แต่จมูกก็โล่งสบายขึ้นมาก
“ใต้เท้า ช่วงนี้อากาศเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว หากเปิดหน้าต่างล่ะก็…” รอยยิ้มบนใบหน้าเฉินหย่วนผู้เป็นเจ้าเมืองแข็งค้างไป คิดในใจว่าที่ผ่านมาเยวี่ยซย่าหมั่งมักจะยิ้มแย้มให้ผู้อื่นเสมอ เป็นคนที่เข้ากับใครง่าย แต่ไฉนวันนี้กลับไม่แม้แต่จะเอ่ยทักทายก็ตรงไปนั่งลงที่ริมหน้าต่างเลยเล่า
“ข้าร้อน” เยวี่ยซย่าหมั่งเอ่ยยิ้มๆ เหลือบเห็นสตรีที่อยู่เต็มห้องกำลังมองสำรวจเขา ราวกับเขากลายเป็นอาหารในจานของสัตว์ป่ากลุ่มนี้ จึงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “เจ้าเมืองเฉิน ข้ามีเรื่องสำคัญจะพูดคุยกับท่าน คนที่ไม่เกี่ยวข้องเหล่านี้…”
ครั้นเฉินหย่วนได้ยินก็เข้าใจโดยพลัน รีบสั่งให้เหล่าหญิงสาวออกไปก่อน จากนั้นก็ปิดประตูลง
ในที่สุดกลิ่นแป้งผัดหน้าและเครื่องประทินโฉมก็จางไปบ้างเล็กน้อย เยวี่ยซย่าหมั่งพ่นลมหายใจออกมาหนึ่งเฮือก ไม่ลืมหยิบพัดจีบออกมาโบกพัดสองสามที ก่อนจะเอ่ยด้วยท่าทีไม่อินังขังขอบว่า “เมื่อวานบังเอิญเจอบุตรชายท่านบนถนน พูดกับแม่นางขายซาลาเปาคนหนึ่งว่าไม่อยากซื้อซาลาเปา ซ้ำยังเกาะแกะผู้อื่นไม่ปล่อย ท่านคิดว่าเรื่องนี้…”
“กลับไปข้าจะต้องลงโทษเจ้าลูกสารเลวนั่นอย่างเด็ดขาดแน่นอนขอรับ” เฉินหย่วนเอ่ยอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน บอกเจ้าสารเลวนั่นไม่รู้ตั้งกี่รอบแล้วว่าไม่ว่าอย่างไรในช่วงที่เยวี่ยซย่าหมั่งอยู่ที่ซุยโจวให้ทำตัวสงบเสงี่ยมเรียบร้อยหน่อย แต่เขากลับ…เจ้าลูกสารเลวนี่อยากจะทำให้ข้าหลุดจากตำแหน่งอย่างนั้นหรือ