บทที่ 2-1 พบเจอกันอีกครั้งที่หอคณิกา
“นายท่านถูกใจเจ้า ให้เกียรติเจ้า ยังไม่ไปอีก!”
“ข้าบอกแล้วว่าท่านจำคนผิด” ซั่นซือฮุ่ยออกแรงสะบัดข้อมือที่ถูกจับกุมไว้ แต่ไหนเลยจะรู้ว่าบุรุษตรงหน้าถึงแม้จะดูเหมือนคนเมา แต่นางก็ยังสู้แรงเขาไม่ได้อยู่ดี ทำเอานางร้อนรนจนเพลิงโทสะแทบจะปะทุออกมาแล้ว
หน้าผากของนางเสียโฉม ใบหน้ามีรอยปาน นี่เป็นสตรีอัปลักษณ์ในความคิดของบุรุษทั่วไปมิใช่หรือ กอปรกับนางแต่งตัวปกปิดมิดชิดทั่วทั้งร่าง มองรูปร่างไม่ออกอย่างสิ้นเชิง เหตุใดถึงยังมาเกาะแกะนางได้อีกเล่า
เพราะโคมไฟมืดเกินไปเลยมองเห็นความอัปลักษณ์ของนางไม่ชัด หรือว่าในสายตาของบุรุษที่ดื่มสุราจนเมามายเหล่านี้ขอแค่เป็นสตรีก็ได้หมด? ถูกใจนางถือเป็นการให้เกียรตินาง? ไม่ต้องเลย ไม่ต้องมาให้เกียรติข้าใดๆ ทั้งสิ้น!
“จำผิดหรือไม่ก็ไม่เป็นไร” บุรุษผู้นั้นกระชากนางเดินไปยังด้านในเฉลียงทางเดินยาว
สองขาของซั่นซือฮุ่ยพยายามเหยียบพื้นเอาไว้แต่ก็ยังคงถูกลากให้เดินไป พื้นรองเท้าของนางไม่มีคุณสมบัติช่วยกันลื่นเลยสักนิด นางกลัวว่าตนเองจะถูกลากเข้าไปในห้องพิเศษจริงๆ มืออีกข้างของนางจึงทุบไหล่ของบุรุษผู้นั้นอย่างเอาเป็นเอาตาย ถือเป็นการใช้ความรุนแรงครั้งแรก เพราะนางไม่เคยทำมาก่อนเลยในชั่วชีวิตนี้
บุรุษผู้นั้นคล้ายกับถูกยั่วโมโหจนหงุดหงิด จึงหันหน้ากลับมาฟาดฝ่ามือใส่นาง นางใช้แขนบังไว้ข้างหน้าด้วยสัญชาตญาณ แต่กลับได้ยินเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นแทน พอข้อมือของนางที่ถูกจับกุมไว้ได้รับอิสระนางก็ถอยกรูดไปหลายก้าวอย่างไม่ลังเลสักนิด เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้งสิ่งที่เห็นคือ…
“เป็นท่าน?”
เยวี่ยซย่าหมั่งไม่ได้มองนาง เขาจับตัวบุรุษตรงหน้าที่กระชากข้อมือของนางเอาไว้อย่างยิ้มแย้มเช่นเดิม เอ่ยถามว่า “เจ็บหรือไม่”
“เหลวไหล ก็ต้องเจ็บน่ะสิ! เจ้า…เป็นใคร ถึงขนาดกล้ามาจับข้า…” เริ่มแรกท่าทางยามพูดจาของบุรุษผู้นั้นกำเริบเสิบสานไม่เบา แต่หลังจากเยวี่ยซย่าหมั่งเพิ่มแรงบีบที่มือแรงขึ้น เขาก็เจ็บจนพูดไม่ออก ขาทั้งสองข้างคุกเข่านั่งลงบนพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง
“ในเมื่อรู้ว่าเจ็บก็อย่าทำเช่นนี้กับผู้อื่น คำโบราณกล่าวไว้ว่าตนเองไม่พึงปรารถนาก็จงอย่าทำกับผู้อื่น แม้แต่หลักคุณธรรมข้อนี้เจ้าก็ไม่รู้อย่างนั้นหรือ” เยวี่ยซย่าหมั่งร่างกายไม่ขยับ น้ำเสียงนุ่มละมุนจนชวนให้คนเข้าใจผิดว่าเขากำลังเอ่ยไต่ถามสารทุกข์สุกดิบกับผู้อื่นอยู่ “ดึกมากแล้ว กลับไปอ่านหนังสือให้เยอะๆ”
บุรุษผู้นั้นเจ็บปวดจนใบหน้ากลายเป็นสีแดงเลือดหมู พูดจาไม่ออกแม้แต่คำเดียว
เยวี่ยซย่าหมั่งราวกับไม่มีความรู้สึกใดๆ ทั้งสิ้น เขากวักมือเรียกซั่นซือฮุ่ย จากนั้นใช้เท้าวาดลงบนร่างกายท่อนล่างของบุรุษผู้นั้นแล้วเอ่ยว่า “คราวหน้าหากพบเจอสถานการณ์เช่นนี้อีก ต้องเตะเข้าไปที่ตรงนี้ หรือไม่ก็ทิ่มไปที่คอหอย ต้องเลือกโจมตีจุดอ่อน ถ้าสามารถทำให้เขาล้มได้ในคราวเดียวก็จะดีที่สุด หาไม่แล้วก็อย่าเสียแรงเปล่าจนพลาดโอกาสหนีไป”
พอไม่ได้รับการตอบกลับเขาก็ปรายตามองแวบหนึ่ง แล้วก็เห็นซั่นซือฮุ่ยจ้องมองเขาเขม็งอีกครั้ง ดวงตาทั้งสองข้างเอ่อรื้นด้วยประกายหยาดน้ำ ถ้อยวจีนับพันนับหมื่นถูกถ่ายทอดผ่านนัยน์ตางามที่คล้ายกับสามารถเอ่ยวาจาได้คู่นั้นออกมาราวกับแสงจันทรา