บทที่ 2-2 พบเจอกันอีกครั้งที่หอคณิกา
ครั้นซั่นซือฮุ่ยได้ยินคำว่า ‘ที่ทำการ’ ก็นึกขึ้นได้ว่ามีคนเรียกเขาว่า ‘ซื่อจื่อ’ เข้าใจว่าชาติกำเนิดของเขาต้องไม่ธรรมดาแน่นอน แม้กระทั่งป้ายหยกอันนั้นก็ยังดูเหมือนมีราคาสูงลิบลิ่ว นางรับมาอย่างระมัดระวัง แต่บังเอิญเหลือบเห็นมือของเขาพอดี จึงคว้ามือเขาเอาไว้อย่างฉับพลัน
เยวี่ยซย่าหมั่งชะงักไปเล็กน้อย คิดจะชักมือกลับ แต่นางกลับจับไว้แน่น
ยามนางช้อนตาขึ้นมาก็เอ่ยด้วยใบหน้าซึ่งมีแต่ความฉงนสนเท่ห์ “ดูเหมือนว่าคุณชาย…ยังไม่มีชะตาคู่ครอง หรือไม่เนื้อคู่ก็ยังมาไม่ถึงกระมัง” นางฝืนเอ่ยเสริมท้ายหนึ่งประโยค ไม่เช่นนั้นบางครั้งคำพูดอาจจะทำร้ายจิตใจคนมากเกินไปจริงๆ
เยวี่ยซย่าหมั่งหรี่ตาลงเล็กน้อย หน้าตาหล่อเหลาอันเรียบเฉยไร้อารมณ์พลันปรากฏแววน่าครั่นคร้ามสะพรึงกลัวขึ้นมาในเสี้ยวพริบตา
ซั่นซือฮุ่ยสามารถเห็นด้ายเนื้อคู่ของผู้อื่นได้มาตั้งแต่เกิด หรือก็คือด้ายแดงที่ผูกอยู่บนนิ้วนั่นเอง
โดยทั่วไปแล้วที่ปลายนิ้วของทุกคนจะมีด้ายแดงอยู่จุดหนึ่ง หากคู่ในโชคชะตาปรากฏขึ้น จุดแดงบนนิ้วก็จะเกิดเป็นด้ายแดงออกมาตามธรรมชาติ แค่ดูว่าปลายอีกด้านผูกอยู่บนนิ้วของใคร ทั้งสองก็ต้องได้ครองคู่กัน
ถึงแม้นางจะไม่เข้าใจว่าเหตุใดตนเองถึงมองเห็นด้ายแดงได้ แต่การสังเกตมาตลอดหลายปีของนางไม่เคยเกิดข้อผิดพลาด ดังนั้นความสามารถนี้จึงกลายเป็นอาชีพหลักที่ทำให้นางใช้ชีวิตที่นี่ต่อไปได้ ดังนั้นนางถึงได้กล้าเดิมพันกับเยวี่ยซย่าหมั่ง
ถ้าจะพูดกันจริงๆ ล่ะก็ นางต่ำทรามกว่า ทั้งที่รู้แก่ใจว่าตนเองชนะแน่ๆ แต่กลับพนันกับเขาอย่างหน้าไม่อาย มิหนำซ้ำคนเขายังเป็นผู้มีบุญคุณของนางอีก ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าตนเองทำเกินไป
ซั่นซือฮุ่ยตรึกตรองอย่างจริงจัง นิ้วเรียวขาวคำนวณไม่หยุด คิดในใจว่าหลอกเงินเขานิดๆ หน่อยๆ ก็พอ อย่างน้อยให้นางได้อิ่มอุ่น เงินอื่นๆ ก็ค่อยไปขุดจากพวกแม่สื่อในเมืองเอาแล้วกัน ขอแค่นางค่อยๆ สร้างชื่อเสียงได้ ยังต้องกลัวว่าแม่สื่อเหล่านั้นจะไม่มาขอร้องนางอีกหรือ
เพราะสำหรับพวกแม่สื่อหากวิ่งรอบเดียวแล้วสามารถเจรจาการแต่งงานให้สำเร็จลุล่วงได้ ย่อมเป็นการประหยัดแรงและประหยัดเวลาเป็นที่สุด อย่างไรก็ดีกว่าต้องวิ่งฝ่าลมหนาวเสียดกระดูกหลายรอบแต่สุดท้ายก็ได้แค่เงินค่าน้ำชาเป็นไหนๆ
ขอแค่หาเงินค่าคนกลางจากการร่วมมือกันได้มากขึ้นอีกนิดนางก็จะสามารถยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของตนเองได้ ไม่ต้องทนหิ้วท้องและก็ไม่ต้องกระเบียดกระเสียรกระทั่งการจุดโคมไฟในยามราตรี ชีวิตอันแสนรันทดยามที่เพิ่งย้อนเวลามาที่นี่ นางไม่อยากจะประสบพบเจออีกรอบแม้แต่น้อย จะต้องคิดหาหนทางใช้ชีวิตให้สุขสบายก่อน แล้วค่อยคิดว่าจะกลับบ้านได้อย่างไร
แต่จะกลับบ้านได้อย่างไรกันเล่า
ทีแรกที่บังเอิญเจอคุณชายผู้นั้นบนถนนใหญ่ มีชั่วพริบตาหนึ่งที่ซั่นซือฮุ่ยคิดว่าเขาต้องเป็นกุญแจสำคัญในการกลับบ้านของนางเป็นแน่ เพราะเขาหน้าตาเหมือนกับชายหนุ่มที่เรียกนางคนนั้นไม่มีผิดเพี้ยน
นางไม่มีทางจำผิดแน่นอน เพราะเขารูปโฉมเย้ายวนชวนลุ่มหลงเกินไป เสมือนกับเซียนจิ้งจอกปรากฏกาย ไม่ว่าใครก็ลืมรูปโฉมของเขาไม่ลง แต่ความเป็นจริงได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่านั่นเป็นเพียงแค่เรื่องบังเอิญเท่านั้น
เช่นนั้นถ้านางจะกลับบ้านก็เหลือความเป็นไปได้แค่อย่างเดียวแล้ว…
“พี่ซั่น”
จู่ๆ ก็ได้ยินว่ามีคนเรียก ซั่นซือฮุ่ยจึงรีบขานรับ ลุกขึ้นเปิดบานประตูที่จวนจะค้ำไม่อยู่อย่างระมัดระวัง…ช่วยไม่ได้ ที่นี่เป็นแค่เรือนผุพังที่ไม่มีคนอยู่ในหมู่บ้าน ให้นางยืมอาศัยก็ควรจะสำนึกบุญคุณแล้ว มิหนำซ้ำพอลืมตาขึ้นมาทุกอย่างก็ต้องใช้เงินทองทั้งสิ้น นางเองก็ไม่มีเงินซ่อมประตูเช่นกัน