“พี่ซั่น ปานของท่าน…ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมแล้ว” ที่นอกประตูหลิวซินถูกรอยปานที่กินบริเวณไปถึงครึ่งหน้าบนใบหน้าของซั่นซือฮุ่ยทำให้ตกใจยกใหญ่
“ใหญ่หน่อยก็ดี” ซั่นซือฮุ่ยเอ่ยด้วยรอยยิ้มเหนื่อยหน่ายใจ นี่ก็ช่วยไม่ได้ ใบหน้าดวงนี้ยั่วตายวนใจเกินไป อีกทั้งนางพบว่าที่เขียนคิ้วที่นางซื้อมาคุณภาพไม่ดี ผงหลุดลอกง่ายยิ่ง ตอนนางกลับถึงบ้านรอยปานของนางมักจะหายไปกว่าครึ่ง และเพราะเช่นนี้ถึงได้ถูกคนตามก้อร่อก้อติก
อัปลักษณ์หน่อยก็ไม่เป็นไร ประเด็นสำคัญคือต้องปลอดภัย
“พี่ซั่น ใกล้ได้เวลาแล้ว พวกเราไปกันเถิด” หลิวซินไม่ใคร่ใส่ใจนัก เอ่ยกับนางด้วยรอยยิ้มพริ้มเพรา เข้ามาคล้องแขนนางอย่างสนิทสนม
“ได้” ซั่นซือฮุ่ยตอบกลับด้วยสีหน้ายิ้มแย้มอย่างสนิทสนมเช่นเดียวกัน
หลิวซินเป็นบุตรสาวของสามีภรรยาสกุลหลิวที่ยื่นมือช่วยเหลือซั่นซือฮุ่ยเป็นคนแรกตอนที่นางย้อนเวลามาที่นี่ พวกเขาช่วยหาเรือนผุพังแห่งนี้ให้นางอยู่อาศัย สกุลหลิวเป็นครอบครัวนายพรานในหมู่บ้าน ถึงแม้จะมีความสามารถในการเลี้ยงชีพ แต่ในครอบครัวมีคนเยอะ ดังนั้นจึงมิอาจเรียกได้ว่าเป็นครอบครัวที่พอมีพอกิน ถึงแม้ครอบครัวพวกเขาจะใช้ชีวิตอย่างอัตคัดขัดสนแต่ยังคงมีจิตใจดีงามยิ่ง ไม่เพียงแต่ช่วยซั่นซือฮุ่ยเอาไว้ ซ้ำยังให้นางยืมเงินเล็กน้อยพอที่จะทำมาหากินด้วยตนเองได้ หากไม่มีคนสกุลหลิวนาง…ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะไปที่ใด
หลิวซินมองนางตรงๆ ก่อนถอนหายใจเอ่ยว่า “จริงๆ แล้วพี่ซั่นงดงามยิ่ง”
หากนางมีรูปโฉมเหมือนอย่างซั่นซือฮุ่ย ไหนเลยจะหักใจวางปานอัปลักษณ์เช่นนั้นลงบนใบหน้าได้
ซั่นซือฮุ่ยหัวเราะคิกคัก “อีกไม่กี่ปีเจ้าก็งดงามกว่าข้า”
“จริงหรือ”
“จริงสิ” ในสายตาซั่นซือฮุ่ยแม่นางน้อยผู้นี้สะสวยงดงาม ทั้งร่าเริงทั้งใจกว้าง ชวนให้คนชื่นชอบยิ่ง ไม่รู้ว่าบุรุษคนใดจะได้ไปครอง
และนางเห็นแล้ว…ด้ายแดงบนนิ้วมือของแม่นางน้อยผู้นี้ปรากฏขึ้นแล้ว
หลิวซินเม้มริมฝีปากยิ้มอย่างขวยเขินเอียงอาย ดวงตากลมโตสดใสเจิดจ้า “ไม่พูดแล้ว พวกเรารีบไปที่ริมแม่น้ำกันเถิด”
“ไปกัน”
จริงสิ นางต้องรีบเตรียมตัวไปทำงานได้แล้ว เพราะวันนี้เป็นเทศกาลซั่งซื่อ ที่จัดขึ้นแค่ปีละครั้ง ธรรมเนียมโบราณจะจัดพิธีบวงสรวงที่ริมแม่น้ำ แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นงานดูตัวครั้งยิ่งใหญ่ นางต้องรีบไปดูว่าจะจับคู่ได้กี่คู่ หาเงินให้เป็นกอบเป็นกำ ถึงจะให้รางวัลตนเองได้
ค่ายใหญ่ฝั่งตะวันตก ข้างโต๊ะเขียนหนังสือตัวใหญ่ในห้องหนังสือของที่ทำการ บุรุษสองคนกำลังเดินหมากกันอยู่
แค่เวลาเพียงหนึ่งถ้วยชา* บุรุษที่หันหลังให้ประตูก็พ่ายแพ้อย่างราบคาบ บีบหมากสีขาวในมือครั้งแล้วครั้งเล่า แต่สุดท้ายก็วางลง
“ขอยอมแพ้แต่โดยดี” คนที่เอ่ยคือโจวกงปิ่งผู้บัญชาการประจำค่ายทหารของค่ายใหญ่ฝั่งตะวันตก รูปร่างกำยำล่ำสัน ใบหน้าเหลี่ยมหน้าผากกว้าง ทั้งร่างเต็มไปด้วยกระไอดุดันอันเป็นเอกลักษณ์ของแม่ทัพนายกอง
“น่าเบื่อ” เยวี่ยซย่าหมั่งวิจารณ์อย่างไม่เกรงอกเกรงใจใดๆ ทั้งสิ้น จากนั้นก็โยนหมากสีดำทิ้งส่งๆ “ข้าว่างเกินไปจริงๆ ถึงได้ชวนเจ้ามาเดินหมากด้วย” เขามองไปทางนอกหน้าต่างพลางคิดในใจ ไปกินทรายเป็นเพื่อนทหารเหล่านั้นให้รู้แล้วรู้รอดเลยดีหรือไม่
แม้ใบหน้าของโจวกงปิ่งจะตากแดดคล้ำเพียงใดก็ยังมองออกว่าถูกประชดเสียดสีจนหน้าแดงเถือก เอ่ยด้วยความไม่พอใจว่า “พูดเช่นนี้ไม่ได้ ทั้งที่เจ้ารู้ดีว่าเดิมทีข้าไม่ถนัดทำเรื่องสุภาพเรียบร้อยพวกนี้ ออกไปข้างนอกดีหรือไม่ พวกเราประลองกำลังกันสักสองสามรอบ”
เยวี่ยซย่าหมั่งไม่แม้แต่จะมองเขาสักแวบเดียว “เจ้าเคยสู้ชนะข้าด้วยหรือ”
เมื่อหลายปีก่อนทั้งสองเคยร่วมมือกันในสนามรบที่เยียนโจวอยู่หลายครั้ง ถึงแม้ไม่อาจเรียกได้ว่าคบหากันลึกซึ้ง แต่ก็ถือว่าเป็นสหายกันแน่นอน ดังนั้นยามพูดจาหากไม่กระแทกจุดอ่อนของอีกฝ่าย เยวี่ยซย่าหมั่งก็จะรู้สึกผิดต่อตนเอง