“นางหนูซั่น เจ้าดูเนื้อคู่ให้ผู้อื่น แล้วเหตุใดไม่ดูให้ตนเองบ้างเล่า”
ครั้นแม่สื่อหวงเอ่ยถามเช่นนี้ ซั่นซือฮุ่ยก็รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังพุ่งเป้ามาที่ตนเอง จึงได้แต่ยิ้มเจื่อนตอบว่า “คู่ของข้ายังไม่ปรากฏเลย” คำพูดนี้มิใช่การปฏิเสธกลบเกลื่อน แต่ยังไม่ปรากฏจริงๆ
“เช่นไรถึงจะถือว่าเนื้อคู่ปรากฏแล้วเล่า ทั้งที่มีคนไม่น้อยมาสืบถามเรื่องเจ้ากับข้าแท้ๆ เจ้าดูซิว่าเนื้อคู่ก็มาเยือนแล้วมิใช่หรือ” แม่สื่อหวงพินิจมองซั่นซือฮุ่ย รู้สึกเสียดายกับรอยแผลเป็นบนหน้าผากอีกฝ่ายอีกครั้ง ช่างสุดแสนจะน่าเสียดายเหลือเกิน หญิงงามโดยกำเนิดตัวเป็นๆ คนหนึ่งกลับเสียโฉมเสียได้ ประหนึ่งหยกงามชั้นเลิศมีรอยตำหนิ จะไม่ให้คนทอดถอนใจได้อย่างไรกัน
มิหนำซ้ำนางพบเจอหญิงงามมามากมาย ต่อให้งามชวนตกตะลึงเพียงใดก็แค่ชั่วครู่ชั่วคราวเท่านั้น ทว่านางหนูซั่นนั้นงดงามในอากัปกิริยา อ่อนหวานจากเนื้อแท้ ยังมีใบหน้าที่แย้มยิ้มอันนุ่มนวลอ่อนโยนของอีกฝ่ายดวงนั้นอีก รวมกับวาจารื่นหูนั่น ไม่ว่าใครเห็นแล้วก็ต้องอยากใกล้ชิดด้วย
ซั่นซือฮุ่ยพยักหน้าเบาๆ “คนที่เป็นคู่กันจะต้องมีใจให้กันทั้งสองฝ่ายถึงจะใช้ได้ มิฉะนั้นสิ่งที่ปรากฏหาใช้เนื้อคู่ไม่แต่เป็นเจ้ากรรมนายเวร”
“มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ”
“ยกตัวอย่างเช่นคู่ที่พี่ใหญ่หวงเป็นแม่สื่อให้ ล้วนรักใคร่กลมเกลียว ครองคู่กันจนแก่เฒ่าทุกคู่หรือไม่”
“นี่…” แม่สื่อหวงหัวเราะเล็กน้อย ไม่เห็นด้วยกับซั่นซือฮุ่ย “การแต่งงานในใต้หล้าก็เป็นเช่นนี้ทั้งนั้นมิใช่หรือ ใครสามารถรับรองได้ว่าออกเรือนแล้วจะมีชีวิตสุขสบาย นี่ก็ต้องดูที่นิสัยใจคอของเจ้าสาวด้วย”
“ใช่แล้ว ดังนั้นถ้ารอได้ก็รอเถิด รอเนื้อคู่ที่แท้จริงปรากฏตัวขึ้น ถึงจะไม่เสียเวลาชีวิตไปเปล่าๆ” ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่ยอมแต่งกับใครง่ายๆ เด็ดขาด ไม่ว่าจะอยู่ในยุคสมัยใด จะให้นางออกเรือนโดยที่ไม่เคยได้ใช้เวลาทำความรู้จักกันเลย นั่นเป็นการบังคับให้นางไปตายชัดๆ
แม่สื่อหวงเห็นซั่นซือฮุ่ยไม่หวั่นไหวก็ไม่ฝืนใจนาง สตรีกำพร้าที่ไร้ภูมิหลังไร้บิดามารดาอย่างนางจะเลือกบ้านสามีดีๆ ก็คงยาก ตอนนี้คนที่ไม่สนใจรอยปานของนางก็คงมีแต่ครอบครัวชาวสวนชาวไร่เท่านั้น แต่ถ้าไม่มีรอยปานนั่น หากนางคิดจะก่อตั้งตระกูลในเมือง ดูจากรูปโฉมของนางแล้วเกรงว่าคงไม่อาจทำได้…ยั่วตายวนใจเกินไป น่ากลัวว่าหากผู้อื่นรู้เข้าว่านางอยู่ตัวคนเดียวก็คงจะมาฉุดตัวนางไป
“จริงสิ วันนี้เจ้ามาคนเดียวหรือ”
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ ข้ามากับแม่นางน้อยสกุลหลิว” พูดจบนางก็ชี้ไปทางหลิวซินซึ่งอยู่ไม่ไกล แต่จู่ๆ ก็เห็นว่าด้ายแดงบนนิ้วของหลิวซินยาวยืดออกไป ข้ามไปยังอีกฝั่งของลำธาร ผูกลงบนนิ้วของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ทำให้นางอดร้องอุทานเสียงดังออกมามิได้
“มีอันใดหรือ” แม่สื่อหวงหรี่ตามองไป เห็นคนแล้วก็จำได้ว่านั่นคือบุตรสาวครอบครัวนายพรานสกุลหลิว
“เนื้อคู่ของนางปรากฏแล้ว คือเด็กหนุ่มสวมชุดสีครามฝั่งตรงข้ามผู้นั้น”
แม่สื่อหวงหันมองไปอีกครา “อา นั่นคือบุตรชายคนเล็กของสกุลข่งที่อยู่แถวชานเมือง ปีนี้อายุสิบหกปี ลงนาปลูกข้าวเป็น ทำไร่ไถนามาไม่น้อย เริ่มถึงวัยทาบทามหาคู่ครองแล้วล่ะ”
ในใจแม่สื่อหวงจดจำเอาไว้อีกคู่ วางแผนว่าภายในสองสามวันจะแวะเวียนไปที่สกุลข่งก่อน
“คนผู้นั้นนิสัยใจคอดีหรือไม่เจ้าคะ” ซั่นซือฮุ่ยรีบเอ่ยถาม ถึงแม้เนื้อคู่จะปรากฏขึ้นแล้ว แต่ดีร้ายอย่างไรก็ต้องรู้ความเป็นมาของอีกฝ่ายเสียก่อน เพื่อจะได้แน่ใจว่าหลังจากหลิวซินออกเรือนไปแล้วจะอยู่สุขสบาย