“นิสัยดี ซื่อตรง ทั้งยังทนความลำบากได้” แม่สื่อหวงพูดจบก็หันไปมองทางหลิวซิน กลับพบว่าสายตาของนางหยุดลงบริเวณที่อยู่ไกลยิ่งกว่า เหล่าคุณชายที่อยู่ฝั่งนั้นแต่งกายอย่างฉูดฉาดงดงาม ล้วนแต่เป็นลูกหลานครอบครัวคหบดีในเมืองทั้งสิ้น วันๆ เอาแต่ชนไก่แข่งสุนัข “แม่นางน้อยผู้นี้กลับทะเยอทะยานไม่เบา”
ซั่นซือฮุ่ยฉงนงุนงง “หมายความว่าอย่างไรหรือ”
“เจ้าดูสิว่านางกำลังมองอะไรอยู่”
ซั่นซือฮุ่ยมองไปตามทิศทางที่แม่สื่อหวงชี้ ตรงนั้นก็มีชายหนุ่มเยาว์วัยอยู่กลุ่มหนึ่งเช่นกัน แต่ถ้าจะถามนางว่ามีความแตกต่างกันเช่นไร…อืม คงจะถุงเงินหนักกว่า เพราะเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายนั่นต้องใช้เงินทองไม่น้อย ดังนั้นความหมายของแม่สื่อหวงคือจะบอกว่าคนที่หลิวซินต้องใจคือชายหนุ่มที่ถุงเงินหนักกว่าเหล่านั้น?
“สายตาของแม่นางน้อยนั้นเข้าใจง่ายยิ่ง หากนางมิได้หลงใหลในเงินทองจนหน้ามืดตามัว ก็คงไปมาหาสู่กับผู้อื่นอย่างลับๆ อยู่ก่อนแล้ว”
แม่สื่อหวงเหมือนกับกลัวว่าซั่นซือฮุ่ยจะไม่เชื่อจึงเอ่ยอีกครั้งว่า “ดูสิ สายตาของนางพุ่งตรงไปที่คนผู้หนึ่งอยู่ตลอดเวลา คนผู้นั้นคือบุตรชายของเถ้าแก่ฉินแห่งร้านขายผ้าในเมือง เขาแต่งภรรยาตั้งนานแล้ว ในบ้านก็มีสาวใช้ห้องข้าง กับอนุภรรยามากมายนับไม่ถ้วน”
พอได้ยินแม่สื่อหวงพูดเช่นนี้ ซั่นซือฮุ่ยก็อดกังวลขึ้นมามิได้ สายตาของหลิวซินดูคล้ายกับรู้จักบุรุษผู้นั้น แต่หลิวซินเข้าเมืองน้อยครั้งยิ่ง เหตุใดถึงมีโอกาสรู้จักกับบุรุษผู้นั้นได้เล่า
“ข้าคิดว่านางไม่ค่อยได้รู้จักพบเจอกับคนเช่นนั้น เลยมองสักหลายๆ หนกระมัง” ซั่นซือฮุ่ยคิดเช่นนี้และหวังให้เป็นเช่นนี้จริงๆ
สิ่งที่แย่ที่สุดในยุคสมัยนี้ก็คือบุรุษสามารถมีภรรยา อนุ และสาวใช้ห้องข้างได้ทั้งหมดอย่างสมเหตุสมผล ถึงแม้กฎหมายจะกำหนดไว้อย่างชัดเจนว่าหากอายุเกินสี่สิบปีแล้วยังไม่มีบุตรถึงจะสามารถรับอนุได้ แต่ปัญหาคือตั้งแต่หัวจนถึงหางไม่มีใครทำตามสักคน แล้วนับประสาอะไรกับเมืองใกล้ๆ ชายแดนแห่งนี้เล่า
ได้ยินแม่สื่อหวงบอกว่าแต่งภรรยาต้องแต่งกุลสตรี รับอนุต้องรับโฉมงาม บุรุษหากพอจะมีเงินมีทองบ้าง ใครเล่าจะไม่อยากเสพสุขอย่างชาวฉี
หากอยากจะหาบุรุษที่ใช้ชีวิตโดยมีภรรยาเพียงแค่คนเดียว ถ้ามิใช่เพราะยากจนข้นแค้นเสียจนมิอาจรับอนุได้ ก็คงจะ…มีโรคภัยที่น่าอับอาย
เฮ้อ เป็นยุคสมัยที่ชวนให้คนเศร้าโศกจริงๆ เด็กสาวพอถึงอายุสิบห้าสิบหกปีก็ต้องออกเรือนแล้ว ซ้ำยังต้องแบ่งปันสามีกับผู้อื่นอีก…ซั่นซือฮุ่ยคิดว่าอย่างไรนางก็ควรหาวิธีกลับบ้านโดยเร็วจะดีกว่า
“แย่แล้ว ท้องฟ้าดูท่าแปดส่วนคงจะฝนตก”
เมื่อได้ยินแม่สื่อหวงกล่าวเช่นนี้ซั่นซือฮุ่ยก็เงยหน้าขึ้นมองตามจิตใต้สำนึก รู้สึกว่าท้องนภาขมุกขมัวอยู่บ้าง ลมพัดหนาวเย็นเล็กน้อย หากฝนตกลงมาจริงๆ…จะหนาวเหน็บเพียงใดกันหนอ
ลำพังแค่จินตนาการถึงความหนาวนางก็เริ่มตัวสั่นเทาแล้ว ด้านหนึ่งกังวลว่ารอยปานของนางจะเลือนหายไป จึงเตรียมกล่าวลา “พี่ใหญ่หวง วันนี้พวกเราพอแค่นี้เถิด ข้าต้องพาหลิวซินกลับไปก่อน”
ได้ยินว่าเทศกาลซั่งซื่อจะยังครึกครื้นรื่นเริงไปอีกอย่างน้อยสามวัน ยังมีโอกาสให้ทำการค้าอีกมาก
เดิมทีซั่นซือฮุ่ยยังตั้งใจจะไปกราบไหว้ศาลเฒ่าจันทราที่อยู่บนเนินชุนเฟิงสักหน่อย ทว่าอากาศเปลี่ยนแปลงเร็วเกินไป นางคิดว่ากลับก่อนน่าจะดีกว่า หาเวลาว่างทำซาลาเปาสักหน่อย พรุ่งนี้จะได้หาเงินเพิ่ม