บทที่ 5 กฎระเบียบในวัง
บ้านสกุลฉิน เรือนอุดร
ใต้หน้าต่างห้อง เจียงหลันเยวี่ยกำลังก้มหน้าเย็บเสื้อตัวในให้ฉินวั่ง
เย็บไปทีละฝีเข็ม ตลอดหลายปีที่ผ่านมานางไม่เคยยืมมือคนอื่นทำแทน
นางวางเข็มกับด้ายลง ขยี้ตาเล็กน้อยพลางเอ่ย “พริบตาเดียวก็ผ่านไปครึ่งเดือนแล้ว ทางคุณหนูใหญ่ไม่มีการเคลื่อนไหวอื่นหรือ”
“จะมีการเคลื่อนไหวอะไรได้เจ้าคะ” หมัวมัวสูงวัยกล่าว “เดิมบ่าวเข้าใจว่าคุณหนูใหญ่ย้ายเหอจูไปอยู่ที่เรือนนอกเพราะมีใจจะป้องกันเรา แต่เมื่อครู่อยู่ที่ห้องครัวพูดคุยกับเหอจูอยู่หลายคำ จึงรู้ว่าคิดมากไปแล้ว”
เจียงหลันเยวี่ยเอ่ยถาม “หมายความว่าอย่างไร”
หมัวมัวสูงวัยบอก “เหอจูบอกว่าสองวันนี้คุณหนูใหญ่อยู่ในห้อง หนึ่งไม่ได้ฝึกคัดอักษร สองไม่ได้ฝึกมารยาทในวัง กลับเห็นหญิงขับร้องผู้นั้นเป็นอาจารย์ ฝึกร้องงิ้วอยู่ในห้อง ประเดี๋ยวก็ร้องไห้ ประเดี๋ยวก็หัวเราะ บางครั้งยังมีคำพูดหยาบโลนลามกผุดออกมาสองคำ ถ้านายท่านรู้เข้าจะต้องโกรธจนล้มป่วยแน่”
เจียงหลันเยวี่ยย่นหัวคิ้วบอก “คำพูดหยาบโลน? นางเสียสติหรืออย่างไร”
“ไม่แน่นางอาจจะเหมือนกับมารดาของนาง เสียสติไปแล้วจริงๆ” หมัวมัวสูงวัยยกมือขึ้นช่วยนวดบ่าให้เจียงหลันเยวี่ย “ฮูหยินก็ไม่ต้องกังวลเกินไป รอครั้งนี้นายท่านส่งหญิงขับร้องผู้นั้นจากไปแล้ว ย่อมต้องวกกลับมาคิดถึงตัวคุณหนูรอง”
“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น”
เจียงหลันเยวี่ยกดนวดหน้าอก
สองวันนี้หัวใจของนางรู้สึกกระวนกระวายขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ ราวกับจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเช่นนั้น
เจียงหลันเยวี่ยสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่งแล้วกล่าวเสียงต่ำ “ไปถ่ายทอดคำพูดให้จูเจ๋อ บอกเขา ขอเพียงเติมฟืนท่อนสุดท้ายลงไปได้ บัญชีของสกุลจูก็นับว่าชำระหมดแล้ว”
ฉินวั่งมาจากครอบครัวยากจน ตอนเป็นขุนนางในท้องถิ่น ความเร็วในการเลื่อนตำแหน่งยังนับว่าเร็ว แต่พอมาถึงเมืองหลวง วงศ์ตระกูลขุนนางผู้มีอำนาจมีอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง ถ้าไม่มีคนสนับสนุน ตำแหน่งไท่สื่อลิ่งของเขานี้เกรงว่าคงต้องนั่งไปตลอดชีวิต
การคัดเลือกหญิงงามครั้งนี้ แม้จะบอกว่าทำตามราชโองการ แต่จิตใจที่มุ่งหวังให้บุตรสาวกลายเป็นหงส์ใครบ้างไม่มี ถ้าจะบอกว่าฉินวั่งไม่เคยคิดจะอาศัยเรื่องนี้มาต่อสู้เพื่ออนาคต เจียงหลันเยวี่ยไม่มีทางเชื่อ
ถึงฉินหลิงจะมีข้อเสียมากมาย แต่เป็นบุตรสาวสายตรงคือเรื่องจริง รูปร่างหน้าตาดีก็เป็นเรื่องจริง
ดังนั้นนางจึงจำเป็นต้องให้จูเจ๋อเติมฟืนท่อนสุดท้ายลงไป แผดเผาความหวังที่ฉินวั่งฝากไว้ในตัวฉินหลิงให้มอดไหม้ไม่มีเหลือ
หลังจากนั้นครึ่งชั่วยามฉินวั่งเลิกงานกลับมา
เฉกเช่นที่ผ่านมา เจียงหลันเยวี่ยจะเขย่งเท้าช่วยถอดหมวกผ้าโปร่งสีดำให้ฉินวั่งก่อน แล้วหันไปหยิบผ้าเช็ดมือมายื่นส่งให้เขา
ฉินวั่งรับมาเช็ดมือเล็กน้อย พูดเสียงต่ำ “ข้าไหว้วานคนหาซือจี๋ในวังหลวงมาคนหนึ่ง นางมาจากสกุลเฉิน ปกติดูแลเรื่องหนังสือคัมภีร์ โต๊ะตั่ง เฉินซือจี๋ทำหน้าที่อยู่ข้างกายหัวหน้ากองงานพิธีการหลู สอนเรื่องธรรมเนียมมารยาทย่อมไม่มีอะไรให้ต้องพูดถึง ประเดี๋ยวเจ้าพาหรงเอ๋อร์ไปที่ห้องโถงหลักด้วย”
“ไม่ได้เด็ดขาด” เจียงหลันเยวี่ยกล่าว “หรงเอ๋อร์เป็นเพียงบุตรสาวที่เกิดจากอนุ เรื่องเช่นนี้นางจะไปด้วยได้อย่างไร”
ฉินวั่งยิ้ม “เจ้าก็ยึดธรรมเนียมประเพณีมากเกินไป ข้าบอกให้เจ้าพานางไปเจ้าก็พาไป หรงเอ๋อร์ไม่ใช่ว่าจะมีแม่สื่อมาเจรจาเรื่องแต่งงานแล้วหรือ ฟังเรื่องธรรมเนียมมารยาทมากหน่อย ย่อมไม่มีอะไรเสียหาย”
ดอกกุ้ยที่นอกหน้าต่างห้องกำลังผลิบานพอดี ออกดอกติดกันเป็นช่อๆ มองจากที่ไกลคล้ายมีคนหว่านเศษทองลงไปในกลุ่มใบไม้สีเขียว
ครู่หนึ่งฉินหลิงและฉินหรงต่างมาที่ห้องโถงหลัก
เห็นคนมาพร้อมแล้ว เฉินซือจี๋ก็วางถ้วยชาในมือลง
เรื่องของสกุลฉิน ก่อนมานางก็ได้ยินมาไม่น้อย
จะอย่างไรในบ้านไม่มีภรรยาเอก อาศัยอี๋เหนียงดูแลบ้าน ก็ไม่ค่อยมีให้เห็นสักเท่าไร
เฉินซือจี๋เดินมาถึงเบื้องหน้าฉินหลิงกับฉินหรง มองประเมินคุณหนูทั้งสองที่อยู่ตรงหน้าอย่างละเอียด
อยู่ในวังหลวง ยืนก็ต้องยืนตามระเบียบ นั่งก็ต้องนั่งตามระเบียบ แม้แต่สายตาที่มองคนก็ต้องมีระเบียบ
เฉินซือจี๋พยักหน้าน้อยๆ คล้ายคิดอะไรอยู่
แม้จะบอกว่าบุตรสาวสองคนของบ้านสกุลฉินรูปโฉมล้วนเป็นเลิศ แต่บุคลิกท่วงทีกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
นางไม่เคยพบบุตรสาวสกุลฉินมาก่อน แต่เพียงมองแวบเดียวก็รู้ว่าคนใดคือคุณหนูใหญ่บุตรสาวภรรยาเอก
เส้นผมดุจปุยเมฆในฤดูใบไม้ผลิ ดวงตาดุจประกายคลื่นในฤดูใบไม้ร่วง ใบหน้าดุจหิมะสะท้อนแสงอรุโณทัยยามเช้า
ในบ้านมีหญิงงามเช่นนี้ ก็ไม่แปลกที่ใต้เท้าฉินจะเชิญนางมา
ฉินวั่งกระแอมเบาๆ คำหนึ่ง กล่าวกับฉินหลิงและฉินหรง “ท่านนี้คือใต้เท้าเฉิน เฉินซือจี๋จากวังหลวง พวกเจ้าสองคนมีอันใดไม่เข้าใจเกี่ยวกับธรรมเนียมมารยาท วันนี้ล้วนขอคำชี้แนะจากใต้เท้าเฉินได้ทั้งหมด”
“ใต้เท้าฉินเกรงใจแล้ว ข้าเพิ่งเข้าราชสำนักฝ่ายในได้เพียงสองปี ในวังมีกฎระเบียบที่เข้มงวด มีธรรมเนียมมารยาทมากมาย แม้แต่ตัวข้าเองก็ไม่กล้าพูดว่ารู้ทุกเรื่องอย่างชัดเจน”
ฉินวั่งพยักหน้าคล้อยตามบอก “เป็นเช่นนั้นจริง”
เฉินซือจี๋กล่าวต่อ “ทว่าในเมื่อได้รับการไหว้วานจากผู้อื่น ข้าก็จะบอกทุกอย่างที่เคยเรียนมาที่เคยรู้มาให้คุณหนูทั้งสองฟัง แต่ก่อนจะถึงตอนนั้น ยังขอให้ใต้เท้าฉินเอาพู่กัน หมึก กระดาษ แท่นฝนหมึกมาให้สักสองชุด”
พู่กัน หมึก กระดาษ แท่นฝนหมึก…นี่คงจะดูลายมือของคนทั้งสองแล้ว
เจียงหลันเยวี่ยมีสีหน้าดีใจ
ตัวอักษรของฉินหรงพูดไม่ได้ว่างดงามน่าตื่นตะลึง แต่เมื่อเปรียบกับฉินหลิงที่ไม่มีความรู้ไม่มีความสามารถแล้ว กลับดีกว่ามาก