ตกรางวัลอย่างงามให้การแสดงของพระชายา
ทดลองอ่าน ตกรางวัลอย่างงามให้การแสดงของพระชายา บทที่ 5-6
บทที่ 6 จดหมาย
เช้าวันถัดมา
ฉินหลิงลุกขึ้นมานั่ง ขยี้ๆ ตา เพิ่งจะตื่นเต็มตาก็ได้ยินเสียงเคาะประตู ‘ก๊อกๆ’ สองที
“คุณหนูตื่นหรือยังเจ้าคะ”
“เข้ามา” ฉินหลิงกล่าว
เหอจูเดินเข้ามา พูดขึ้นเบาๆ ว่า “คุณหนู จดหมายมาแล้วเจ้าค่ะ”
จดหมาย?
เหอจูล้วงจดหมายออกมาจากอกเสื้อ ส่งให้ถึงมือฉินหลิง “บ่าวรับใช้ที่มาส่งจดหมายบอกว่าหลังจากคุณชายจูทราบว่าคุณหนูดื่มสุราพิษก็ล้มป่วยแล้ว เวลานี้เป็นตายยากจะบอกได้ คุณหนูรีบอ่านเถิดเจ้าค่ะ”
ฉินหลิงมองตัวอักษรขนาดใหญ่ในมือ ‘ชิงชิง เปิดอ่านด้วยตัวเอง’ ลมหายใจพลันสะดุด รีบเปิดจดหมาย
‘…ชิงชิง เห็นตัวอักษรก็เหมือนได้พบหน้า คิดถึงยิ่งนัก
…ข้าถือกำเนิดในครอบครัวพ่อค้า ในใจรู้ดีว่าไม่คู่ควรกับชิงชิง รู้ทั้งรู้ว่าไม่ควรคิดเพ้อฝัน แต่ความคิดเพ้อฝันนี้กลับทำให้ข้าเฝ้าคิดถึง เฝ้าคะนึงหา เฝ้าพร่ำเพ้อ ทั้งคืนทั้งวันไม่กล้าลืมเลือน…
…ถ้าชิงชิงปลอดภัยฟื้นขึ้นมาได้ จำไว้อย่าทำเรื่องโง่ๆ อีก ชาตินี้น้อยวาสนา ชาติหน้าเราค่อยสานต่อ’
อ่านจดหมายจบ ในสมองของฉินหลิงก็มีเสียงดังเปรี้ยง
นางพลันลุกขึ้นเดินไปทางซ้าย เปิดตู้ไม้จันทน์แดงใบใหญ่ หยิบกล่องใบหนึ่งออกมาแล้วคว่ำลง เทของที่อยู่ข้างในออกมา
จดหมายที่บอกความรักใคร่ต่อกันยี่สิบแปดฉบับร่วงโครมกระจายอยู่บนพื้น
ฉินหลิงสูดลมหายใจด้วยความหนาวเหน็บทีหนึ่ง
ที่นางนี่มีจดหมายที่จูเจ๋อเขียนยี่สิบแปดฉบับ นั่นก็หมายความว่าที่จูเจ๋อก็มีจดหมายที่นางเขียนยี่สิบแปดฉบับเช่นกัน
ใกล้จะเข้าวังอยู่แล้ว จดหมายเหล่านี้ถ้าถูกคนพบเข้า เกรงว่านางคงจะไม่มีชีวิตอยู่ถึงวันที่ได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้
ท่าทางหวั่นหวาดของฉินหลิง พอตกอยู่ในสายตาของเหอจู กลับกลายเป็น ‘ความรักลึกซึ้งไม่อาจควบคุมได้’ กับ ‘อกสั่นขวัญหาย’
เหอจูพูดเสียงต่ำ “คุณหนูไม่เป็นไรกระมัง คุณชายจูว่าอย่างไรหรือเจ้าคะ”
ฉินหลิงหลุบตาบอก “เจ้าออกไปก่อน ข้าอยากจะอยู่เงียบๆ”
เหอจูในใจรู้สึกดีใจ แสร้งทำเป็นพูดด้วยความเป็นห่วง “เจ้าค่ะ ถ้าคุณหนูมีอะไรก็เรียกบ่าวนะเจ้าคะ”
หลังจากกินอาหารเช้าแล้ว ฉินหลิงรีบหวีผมแต่งตัว สวมหมวกมีผ้าปิดคลุมหน้า จากนั้นก็จับจูงซื่อเยวี่ยขึ้นนั่งบนรถม้า มุ่งตรงไปยังหอชิ่งเฟิงที่ประตูตงจื๋อ
อวี๋เหนียงเห็นฉินหลิงกับซื่อเยวี่ยก็แย้มยิ้มบอก “โอ้ ดูสินี่ใครกัน”
ฉินหลิงพูดเสียงต่ำ “หลงจู๊อวี๋ วันนี้ข้าจะไปชั้นสาม”
ชั้นสาม ที่ตั้งของศาลาเฟยเหนี่ยว
อวี๋เหนียงสีหน้าสั่นไหว กล่าวเสียงต่ำ “แม่นางรอสักครู่ ข้าจะขึ้นไปถามท่านจวงก่อน”
ท่านจวงที่ว่า ย่อมต้องเป็นจวงเซิง เจ้าของศาลาเฟยเหนี่ยว
ฉินหลิงบอก “ได้”
ผ่านไปพักหนึ่งอวี๋เหนียงก็กลับมา
นางใช้พัดใบลานบังริมฝีปากแล้วพูดที่ข้างหูฉินหลิง “แม่นางตามข้ามาเถิด”
เวลาผ่านไปหกปี นางกลับมายืนอยู่ตรงนี้อีกครั้ง
ด้านล่างของแผ่นป้ายพื้นดำตัวอักษรสีทองยังคงเป็นคำพูดประโยคนั้น… ‘รู้เรื่องราวในอดีตชาติของท่าน เข้าใจความทุกข์ยากในชาตินี้ของท่าน ไขปริศนาในชาติหน้าของท่าน’
“เชิญเข้ามาได้”
ฉินหลิงผลักประตู เดินเข้าไปนั่งลง ริมฝีปากแดงเอ่ยขึ้นเบาๆ “ข้ามาที่นี่วันนี้ ด้วยอยากจะซื้อข่าวจากท่านจวงสักข่าว”
ท่านจวงยิ้ม “แม่นางพูดมาตามตรงเถิด ศาลาเฟยเหนี่ยวนอกจากข่าวในวังไม่ขายแล้ว นอกนั้นล้วนขายหมด”
ฉินหลิงบอก “ข้าอยากจะตรวจสอบจูเจ๋อ คุณชายรองสกุลจูที่ทำการค้าผ้าอยู่ที่ตรอกหนานโข่วประตูซีจื๋อ”
“จูเจ๋อ” จวงเซิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นบอก “เงินสิบตำลึง”
ได้ยินราคาแล้วฉินหลิงก็อดย่นหัวคิ้วไม่ได้
ตั้งแต่เมื่อใดกันที่ข่าวของศาลาเฟยเหนี่ยวราคาถูกเพียงนี้ คิดถึงตอนนั้นที่นางซื้อร่องรอยการเคลื่อนไหวของเซียวอวี้ ไม่ใช่ราคานี้
“อย่างไร” จวงเซิงยิ้มบอก “แม่นางติว่าถูกไปหรือ”
“ย่อมไม่ใช่” ฉินหลิงหยิบถุงเงินออกมา เอาเงินสิบตำลึงวางลงบนโต๊ะ
จวงเซิงลุกขึ้นปล่อยนกพิราบที่อยู่ข้างมือไปตัวหนึ่ง
ฉินหลิงไม่ได้แสดงออกทางสีหน้า ในใจกลับอดแค่นเสียงหัวเราะไม่ได้
ไม่รู้นกพิราบตัวนี้มีพลังปาฏิหาริย์จริง หรือแสร้งแสดงความเร้นลับซับซ้อนเพื่อจะตบตาคน
ครู่เดียวนกพิราบก็กระพือปีกบินกลับมา
จวงเซิงดึงแผ่นกระดาษใบหนึ่งออกมาจากข้างขานกพิราบแล้วกล่าวกับฉินหลิง
“จูเจ๋อ ชื่อรองจื่อหยาง เป็นคนเฉียนถัง เคยเรียนหนังสือที่ภูเขาหลงเฉวียน หลังจากสอบเซียงซื่อไม่ผ่านสามครั้งก็ท้อแท้หมดกำลังใจ และเริ่มหัดทำการค้ากับครอบครัว สองปีก่อนบ้านสกุลจูย้ายมาเมืองหลวงทั้งครอบครัว เปิดร้านขายผ้าที่แม่นางพูดถึงเมื่อครู่”
จวงเซิงจิบน้ำชาคำหนึ่ง กล่าวต่อ “คุณชายจูท่านนี้ไม่ใช่คนที่เหมาะกับการเรียนหนังสือ แต่กลับมีความสามารถในการทำการค้า ครึ่งปีก่อนมีคนสั่งผ้าสีครามเกือบหนึ่งพันพับกับบ้านสกุลจู เดิมเป็นการค้าขายที่ดีชิ้นหนึ่ง แต่ไหนเลยจะรู้ว่าผ้าหนึ่งพันพับนี้ ไม่ระวังตอนย้อมเปื้อนจุดสีดำเข้า เวลานั้นบ้านสกุลจูกำลังตกอยู่ในสถานการณ์พืชไร่ยังเก็บเกี่ยวไม่ได้ ข้าวเก่าก็กินหมดแล้ว จูเจ๋อในใจคิดว่าไม่สู้ลองเสี่ยงลงทุนน้อยได้เงินมาก จึงเข้าไปเสี่ยงโชคในบ่อนพนันของสกุลหง และติดการพนันเข้า หลายครั้งก็เลิกไม่ได้ สูญเสียเงินไปทั้งหมดไม่พูดถึง ยังติดหนี้หกหมื่นตำลึงอีกต่างหาก แต่จนถึงตอนนี้ ได้ใช้คืนไปสี่หมื่นตำลึงแล้ว”
ฉินหลิงฟังความหมายนอกคำพูดของจวงเซิงออก คิ้วเรียวดุจกิ่งหลิวของนางขยับเข้าหากันน้อยๆ ถามต่อ
“เขาคืนเงินสี่หมื่นตำลึงนี้ได้อย่างไร”
จวงเซิงยิ้มบอก “คำถามของแม่นาง ข้าได้ตอบไปแล้ว”
ฉินหลิงนึกตำหนิอยู่ในใจ ไม่เสียทีที่เป็นศาลาเฟยเหนี่ยวจริงๆ ที่แท้ก็ตั้งใจรอนางอยู่ตรงนี้
ฉินหลิงเอ่ยถาม “ยังต้องการเงินอีกเท่าไร”
จวงเซิงบอก “หนึ่งพันตำลึง”
ชั่วขณะนั้นดวงตาสุกใสแวววาวคู่นั้นของฉินหลิงคล้ายถูกทำให้โมโหจนมีรอยยิ้มผุดขึ้นมาแล้ว
“ท่านจวง ข้าใช่ฟังผิดไปหรือไม่”
“ราคาของข่าวเดิมก็ต่างกันไปตามตัวบุคคล” จวงเซิงยิ้มแล้วบอก “ผู้แซ่จวงดูแล้ว ข่าวนี้สำหรับแม่นางมีค่าควรกับหนึ่งพันตำลึง”
ฉินหลิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง เรื่องของจูเจ๋อไม่อาจล่าช้า
“ข้าขอติดไว้ก่อน สามวันให้หลังจะนำมาให้ท่านได้หรือไม่”
จวงเซิงบอก “ศาลาเฟยเหนี่ยวไม่มีกฎระเบียบเช่นนี้”
ในเวลานี้เองซื่อเยวี่ยก็เอ่ยปากขึ้นช้าๆ “ท่านจวง ซื่อเยวี่ยมีคำพูดอยากจะพูดกับท่าน”
จวงเซิงเอนพิงไปข้างหลัง ยกมุมปากยิ้มพลางมองซื่อเยวี่ย “พูดตามลำพัง หรือพูดที่นี่”
“เพียงท่านข้าสองคน” ซื่อเยวี่ยตบๆ บ่าฉินหลิง “คุณหนูวางใจ รอข้าสักครู่”
ฉินหลิงมองจวงเซิงเดินตามซื่อเยวี่ยออกไป
หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม ซื่อเยวี่ยก็กลับมาที่ข้างกายฉินหลิง “คุณหนู เราไปกันเถิด”
พอขึ้นรถม้าแล้ว ซื่อเยวี่ยก็ยื่นกระดาษให้ฉินหลิงใบหนึ่ง ในนั้นบันทึกวันที่จูเจ๋อชำระเงินคืน แต่ละครั้งล้วนห่างจากวันที่ร้านค้าภายใต้ชื่อสกุลฉินมีบันทึกการจ่ายเงินออกไปไม่ถึงหนึ่งวัน สกุลฉินไม่มีนายหญิงดูแลครอบครัว ร้านค้ามากมายล้วนเป็นเจียงหลันเยวี่ยคอยควบคุมจัดการ
สี่หมื่นตำลึง เจียงหลันเยวี่ยสามารถเอาออกมาได้
ฉินหลิงมองริมฝีปากบวมแดงของซื่อเยวี่ย ทำท่าจะพูดแล้วก็ไม่ได้พูด
ซื่อเยวี่ยกลับเอ่ยว่า “คุณหนูไม่ต้องมองแล้ว เขาไม่ได้ทำอะไรข้า”
ฉินหลิงในใจกระจ่างดี คุณชายรองบ้านสกุลจวงหาใช่คนที่พูดด้วยง่าย
“เพราะเหตุใดแม่นางซื่อจึงช่วยข้า”
“ไหนเลยจะมีเพราะเหตุใดมากมายเพียงนั้น” ซื่อเยวี่ยคิดไปคิดมาก็ยิ้มแล้วบอก “ถ้าคุณหนูฉินอยากขอบคุณข้า ก็ให้เงินข้าหนึ่งพันตำลึงเป็นอย่างไร”
ได้ยินนางพูดเช่นนี้ ฉินหลิงพลันแย้มยิ้ม “ซื่อเยวี่ย ขอบคุณมาก”
น้ำใจในครั้งนี้ ข้าจดจำไว้แล้ว