บทที่ 1
ความเป็นไปของโลกเราเปรียบประดุจกระแสน้ำ…มีขึ้นย่อมมีลง
แคว้นต้าเฉิน รัชศกหยวนคังปีที่สิบเจ็ด แคว้นเป่ยฉีบุกโจมตีเมืองตงจิงกะทันหัน ฮ่องเต้สวรรคต ปราศจากพระโอรส บ้านเมืองใกล้ล่มสลายเต็มที เคราะห์ดีที่จอมโจรเหยียนหลินลุกขึ้นสวมเกราะนิลเหินร่างประดุจลอยลงมาจากฟ้า เข้าหยุดยั้งทัพทหารม้าของฝ่ายศัตรู แคว้นต้าเฉินจึงได้มีโอกาสพักหายใจ
เชื้อพระวงศ์และขุนนางสนับสนุนผิงอ๋องขึ้นครองบัลลังก์ หลังระหกระเหินไปหลายที่สุดท้ายได้สร้างวังหลวงขึ้นมาใหม่ที่เมืองหลินอัน
พริบตาเดียวก็ผ่านไปสิบกว่าปี
เจียงหนาน* เดือนสามฝนตกพรำๆ ดอกท้อ ดอกหลี่ดอกซิ่งร่วงหล่นเกลื่อนพื้น
ซ่งชิงกะพริบตา ฝืนระงับสีหน้าตื่นตะลึง
เมื่อสักครู่นี้เองเธอยังเป็นซ่งชิงราชินีจอเงินอยู่ในงานประกาศรางวัลงานหนึ่ง เพิ่งจะรับถ้วยรางวัลราชินีจอเงินมา ยังไม่ทันได้กล่าวสุนทรพจน์อันน่าเบื่อก็ถูกโคมไฟขนาดใหญ่เหนือศีรษะร่วงลงมาทับอย่างจัง
เธอคิดว่าเธอน่าจะเป็นราชินีจอเงินเพียงหนึ่งเดียวในประวัติศาสตร์ที่ถูกโคมไฟทับตายออกอากาศสด ถ้ามีการจารึกชีวประวัติผู้ตายบนนั้นจะต้องเขียนคำว่า ‘ซวยเกินบรรยาย’ ไว้อย่างแน่นอน
ทว่าแค่กะพริบตาอีกครั้งเธอกลับพบว่าตนเองกลายมาเป็นหญิงสาวนามว่า ‘เฉินวั่งซู’ ที่กำลังนั่งอยู่บนรถม้าที่มุ่งหน้าไปยังชานเมืองร่วมกับหลี่ซื่อผู้เป็นมารดา
“วันนี้อุตส่าห์ได้ออกมาพักผ่อนหย่อนใจทั้งที ช่วงนี้ปลากุ้ย กำลังอ้วนท้วน พวกเราตกมาสักสองสามตัว แล้วเอากลับจวนไปให้แม่ครัวแล่ให้เจ้ากินสดๆ ดีหรือไม่…แม่รู้ว่าเจ้าไม่ชอบใจที่ฝ่าบาทตัดสินพระทัยยกเจ้าให้แต่งงานกับองค์ชายเจ็ด แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้ไหนเลยจะยังแก้ไขได้”
หลี่ซื่อกล่าวพลางโอบซ่งชิงเข้ามาในอ้อมกอด “บุตรสาวข้า เจ้าฉลาดเป็นที่สุด การแต่งงานครั้งนี้ไม่มีผลประโยชน์ใดให้แสวงหา ในบรรดาองค์ชายทั้งหลายองค์ชายเจ็ดหาได้ทรงโดดเด่นไม่ แต่พระทัยดีมีพระเมตตา ส่วนตระกูลฝ่ายพระมารดาของเขาก็มิได้เด่นดัง พี่สาวเจ้าก็สิ้นบุญไปเนิ่นนานแล้ว หากเจ้าแต่งงานไปก็จะได้เป็นถึงพระชายาองค์ชายเจ็ด แม้ตระกูลเราจะมิได้ใหญ่โตดังเก่าก่อนแล้ว แต่บิดาและพี่ชายของเจ้าล้วนเป็นขุนนางในราชสำนัก อีกทั้งชื่อเสียงบารมีของท่านปู่ก็ยังมีอยู่”
ซ่งชิงพยักหน้าส่งๆ
ประสบเรื่องสะเทือนขวัญสองเรื่องติดกัน เธอไม่ได้ร้องแรกแหกกระเชอจนหน้าดำหน้าแดงเหมือนอย่างนักแสดงรุ่นพี่บางคนก็นับว่าวางตัวได้สมฐานะราชินีจอเงินแล้ว
สกุลเฉินเป็นตระกูลขุนนางใหญ่ที่สูงศักดิ์และมีอำนาจมายาวนานนับร้อยปี นับตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษก็มีอัครมหาเสนาบดีมาแล้วสามคน เฉินเป่ยผู้เป็นปู่ของเฉินวั่งซูเคยดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองไคเฟิง ราชบัณฑิตแห่งหอหลงถูนามระบือเลื่องลืออยู่ยุคหนึ่ง
ยามที่แคว้นเป่ยฉีมารุกราน เฉินเป่ยรับพระราชโองการคุ้มกันชาวบ้านออกนอกเมือง และได้พลีชีพพร้อมกับบุตรชายอีกสองคน จงรักภักดีต่อบ้านเมืองตราบจนลมหายใจสุดท้าย
แม้จะได้รับชื่อเสียงในทางที่ดี แต่ที่สุดแล้วคนจากจร ชาร้อนกลายเป็นเย็นคนตายไหนเลยจะสู้คนเป็นได้ เมื่อเปลี่ยนแผ่นดินก็เท่ากับเปลี่ยนขุนนาง บ้านใหญ่สกุลเฉินปรากฏแววเสื่อมถอย มิได้มีเกียรติเช่นเมื่อก่อนแล้ว
จวบจนช่วงปีใหม่มิรู้สิ่งใดดลใจฮ่องเต้ถึงได้เลือกเฉินวั่งซูเป็นพระชายาองค์ชายเจ็ด บ้านใหญ่สกุลเฉินถึงมีคนจดจำขึ้นมาได้อีกครั้ง