บทที่ 11
ความคิดในหัวเฉินวั่งซูแล่นเร็วรี่ไปถึงไหนต่อไหนแล้ว แต่กลับมิได้เผยออกมาทางสีหน้า เดินตามอาสะใภ้สามเฉียนฝูหรงไปหาฮู่กั๋วกงฮูหยินผู้นั้นอย่างสง่าผ่าเผย
มาร่วมงานเลี้ยงวสันต์ไม่มีเหตุผลที่จะไม่ไปทักทายเจ้าภาพก่อน
“เคยได้ยินชื่อเสียงอันดีงามของคุณหนูรองเฉินมานานแล้ว วันนี้ได้พบ มีรูปโฉมกิริยามารยาทเหมาะสมอย่างที่คิดไว้จริงๆ มิรู้เหมือนกันว่าเจวี๋ยเอ๋อร์ของข้าจะมีบุญวาสนาเช่นเดียวกับองค์ชายเจ็ดหรือไม่” ฮู่กั๋วกงฮูหยินเอ่ย
สกุลเฉินเป็นตระกูลบัณฑิตเก่าแก่ สกุลเหยียนเป็นตระกูลแม่ทัพที่เพิ่งเฟื่องฟู เมื่อก่อนอยู่กันคนละโลก แม้แต่ชมบุปผายังไม่ชอบไปที่เดียวกันด้วยเกรงว่าเห็นกันแล้วจะเหม็นน้ำหน้า
ฉะนั้นนี่จึงเป็นครั้งแรกที่เฉินวั่งซูได้พบฮู่กั๋วกงฮูหยินจริงๆ
เฉินวั่งซูหน้าแดงน้อยๆ คารวะฮู่กั๋วกงฮูหยิน “ฮูหยินชมเกินไปแล้ว คุณชายเหยียนเป็นผู้ทรงความรู้ความสามารถ ฮูหยินจะต้องไม่ผิดหวังอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
ฮู่กั๋วกงฮูหยินปิดปากหัวเราะขึ้นมาทันที “มาเยือนจวนข้าแล้วก็ทำตัวให้เหมือนอยู่บ้าน ไม่ต้องระวังตัวจนเกินไป ไปหาคนรู้จัก ดื่มชาชมบุปผาด้วยกันตามสบาย หากมีสิ่งใดติดขัดก็มาบอกข้าได้เต็มที่”
เฉินวั่งซูยิ้มพลางกล่าวขอบคุณ เสร็จแล้วจึงไปหาที่ที่ไม่สะดุดตานั่งลงด้วยกันกับเฉียนฝูหรง
นางหมั้นหมายแล้ว วันนี้แค่มาเป็นตัวประกอบให้งาน ทั้งยังเป็นว่าที่พระชายาองค์ชายเจ็ด ขอเพียงฮู่กั๋วกงฮูหยินมิได้โง่เขลาก็จะต้องปฏิบัติต่อนางอย่างเป็นมิตร ไม่มีความจำเป็นต้องเล่นอุบายขัดขานาง
เฉียนฝูหรงนั่งลงแล้วก็คว้าเมล็ดแตงขึ้นมากำหนึ่งก่อนลดเสียงกล่าวทันที “วันหน้าเจ้าแต่งงานออกไปแล้วก็ต้องไปมาหาสู่กับพวกเขาบ่อยครั้ง อาสะใภ้สามจะแนะนำให้เจ้ารู้จัก ฮู่กั๋วกงฮูหยินนี้มีแซ่ว่าอู๋ นามว่าหงซวง นางเป็นบุตรสาวที่เกิดจากอนุของอู๋เจียงหัวหน้าตุลาการแห่งศาลต้าหลี่ คิดไม่ถึงว่าจะมีวาสนาขนาดได้เป็นฮูหยินของกั๋วกง นึกถึงตอนกระโน้น นางเคยถูกโจรภูเขาลักพาตัวไปด้วย”
เฉินวั่งซูประหลาดใจจนเกือบจะส่งเมล็ดแตงเข้าจมูกแทนปาก แม่สามีในอนาคตผู้นี้ของนางมีชีวิตประหลาดอัศจรรย์ปานนี้ นี่นางเป็นนางเอกหรือไร!
เฉียนฝูหรงโยนเมล็ดแตงทิ้ง คว้าเมล็ดเหอเถา มาเมล็ดหนึ่ง ใช้มือเปล่าแกะเปลือกกิน “เจ้าคิดถูกแล้ว ก็ถูกฮู่กั๋วกงเหยียนหลินในเวลานั้นลักพาตัวไปนั่นล่ะ ปัจจุบันไม่มีใครกล้าเอ่ยถึง แต่ตอนนั้นเป็นข่าวครึกโครมทีเดียว”
นางพูดพลางบุ้ยปากไปทางหนุ่มน้อยในเสื้อตัวยาวสีน้ำเงินไพลิน เด็กผู้นั้นดูมีอายุราวสิบสามสิบสี่ปี ใบหน้ากลมๆ ยังมีแก้มยุ้ยอยู่บ้าง ดูละม้ายคล้ายกับฮู่กั๋วกงฮูหยินอยู่ถึงแปดส่วน
“อู๋ซื่อมีบุตรชายสองคน คนหนึ่งติดตามฮู่กั๋วกงไปต้านทัพศัตรูที่ด่านชายแดน นามว่าเหยียนจิ่น ส่วนอีกคนก็คือหนุ่มน้อยผู้นี้ นามว่าเหยียนอวี้ เล่าเรียนอยู่ในสำนักศึกษาเดียวกับน้องชายเจ้า”
นี่คือน้องสามีที่แม่สามีให้กำเนิดในภายหลัง วันหน้าไม่แน่ว่าอาจจะต้องกำจัดทั้งหมด ต้องจำไว้ให้แม่นก่อน เพราะหากตัวร้ายฆ่าผิดคนก็ไม่น่าเกรงขามแล้ว
เฉียนฝูหรงชี้คนที่นางรู้จักให้เฉินวั่งซูดูอีกหลายคน…พูดจนคอแห้งถึงค่อยกล่าวว่า “เห็นคนที่พูดมากตรงนั้นหรือยัง นั่นคือฮูหยินรองตุลาการถังแห่งศาลต้าหลี่”
เฉินวั่งซูคึกคักขึ้นมาแล้ว มีฮูหยินรองตุลาการถังอยู่ เช่นนั้นก็ควรมีหลิ่วอิงผู้เป็นนางเอกอยู่ด้วยจึงจะถูก นางคิดพลางมองไปตามสายตาของเฉียนฝูหรง เป็นไปตามคาด มองเห็นที่ด้านข้างฮูหยินรองตุลาการถังมีหญิงสาวที่แต่งกายเหมือนต้นหอมสีเขียวนางหนึ่งยืนอยู่จริงๆ
วันนั้นที่ป่าท้อนางมองเห็นเพียงแผ่นหลังของหลิ่วอิงซึ่งดูเล็กอ้อนแอ้นยิ่งยวดเหมือนเป็นหญิงสาวผู้อ่อนหวานจากทางใต้ จึงได้คิดเปรียบนางเป็นดอกไม้ขาว อันงดงามหยาดเยิ้ม
ทว่าคราวนี้ได้เห็นหน้ากลับชวนให้คนคาดไม่ถึง
หลิ่วอิงไม่เพียงหน้าตาไม่งามหยาดเยิ้ม กลับยังมีความองอาจผึ่งผาย ดูไปแล้วเหมือนเป็นคนวัยหนุ่มสาวที่แยกไม่ออกว่าเป็นหญิงหรือชายผู้หนึ่ง
ทว่าใบหน้านั้นดูดีอย่างมาก สันจมูกเล็กแต่โด่ง ปากแดงโดยมิต้องแต้มชาด ดวงตาสองข้างทั้งโตทั้งเป็นประกายประหนึ่งมีดวงดาราบรรจุอยู่เต็ม
ขณะเฉินวั่งซูคิดถึงคำพรรณนาเหล่านี้ก็อดจะตัวสั่นสะท้านไม่ได้ นี่ต้องเป็นศัพท์สำนวนในนิยายรักเกรดซีที่ระบบกรอกเข้าสมองนางอย่างไม่ต้องสงสัย
จะอย่างไรในยุคสมัยนี้คนเป็นนางเอกในดวงตาต้องมีดวงดาวซ่อนอยู่กันทั้งนั้น