ไม่เหมือนกับนาง นางรู้สึกว่าในดวงตาตนเองมีดวงอาทิตย์อยู่
เฉินวั่งซูใจลอยไปประเดี๋ยวเดียว หลิ่วอิงที่ก่อนหน้านี้ยังยืนอยู่ข้างกายฮูหยินรองตุลาการถังก็หายตัวไปแล้ว ในระหว่างนั้นมีเหล่าสตรีเข้ามาอีกจำนวนมาก แต่ละนางแต่งองค์ทรงเครื่องงามพริ้งเพราราวกับเป็นนกยูงหาคู่
เฉินวั่งซูมองเหยียนเจวี๋ย เขายังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม จับจี้หยกพกอันหนึ่งเล่น เสมือนว่าเรื่องที่บีบแตกไปอันหนึ่งก่อนหน้านี้ไม่เคยเกิดขึ้นก็มิปาน
พอเห็นเฉินวั่งซูมองมาเหยียนเจวี๋ยกลับยกมุมปากแย้มยิ้มบนใบหน้า
เฉินวั่งซูรีบเก็บสายตากลับมา ในใจท่องคาถาชำระใจอย่างรวดเร็ว อายุสั้นลงแน่ๆ! โชคดีที่นางร่างกายแข็งแรง มิเช่นนั้นมีหวังถูกปีศาจจิ้งจอกตัวผู้ตัวนี้กระชากวิญญาณไปแล้ว!
ไม่เพียงแค่นาง พอเหยียนเจวี๋ยยิ้มเช่นนี้บริเวณโดยรอบก็มีหญิงสาวจำนวนไม่น้อยพากันกระเหี้ยนกระหือรือขึ้นมา บรรยากาศจึงเริ่มเดือดพล่านในทันใด
“คุณหนูรอง ชุดของคุณหนูของบ่าวเปื้อนแล้วเจ้าค่ะ” ผู้ที่พูดเฉินวั่งซูรู้จัก นางก็คือหงไถสาวใช้ข้างกายเฉินสี่ผิง “สภาพเหตุการณ์ในวันนี้ท่านเองก็ได้เห็นแล้ว คุณหนูของบ่าวเกรงว่าคงถูกคนลอบกลั่นแกล้งเข้าแล้ว จึงใคร่ขอให้คุณหนูไปช่วยสักหน่อยเจ้าค่ะ”
เฉินวั่งซูยังไม่ทันได้ตอบอันใด เฉียนฝูหรงก็เอ่ยปากขึ้นก่อนแล้ว “บ่าวทั้งสาวทั้งชรามีเป็นโขยงยังอุตส่าห์เกิดเรื่องอะไรได้อีกหรือ ซ้ำยังเจาะจงมาเรียกวั่งซูไปอีก พี่สาวร่วมอุทรของนางเองมิใช่อยู่ที่นี่เช่นกันหรือไร”
หงไถชักจะร้อนใจ “พระชายาองค์ชายสามกำลังเล่นซวงลู่** อยู่กับฮูหยินท่านอื่น…พวกท่านล้วนเป็นญาติพี่น้องครอบครัวเดียวกัน…”
เฉินวั่งซูยิ้มพลางลุกขึ้นยืน “อาสะใภ้สามนั่งรอก่อนนะเจ้าคะ ข้าไปประเดี๋ยวเดียวก็มา กินเมล็ดแตงแล้วมือเหนียวอยู่พอดีเชียว ว่าจะไปล้างเสียหน่อย”
ล้อเล่นกันรึ ที่นางเปลืองสมองไปก่อนหน้านี้ก็มิใช่เพื่อรอละครโรงใหญ่ในวันนี้หรือไร
บัดนี้ละครสนุกเริ่มโหมโรงแล้ว นางที่เป็นตัวเอกจะไม่ขึ้นเวทีไปดูให้ชัดกับตาได้อย่างไรเล่า!
หงไถโล่งใจ “คุณหนูของบ่าวรอท่านอยู่ที่ใต้ต้นซิ่งทางนั้นเจ้าค่ะ ชุดเปื้อนแล้ว นางจึงอายที่จะเดินมา”
เฉินวั่งซูพยักหน้า ก่อนพามู่จิ่นเดินไปตามทางเล็กที่มุ่งหน้าไปยังใต้ต้นซิ่ง
เดินได้ครู่ใหญ่ก็ยังไม่เห็นเงาคน ทว่าผู้คนรอบข้างกลับบางตาลงแล้ว
หงไถเห็นเฉินวั่งซูไม่ถามไม่ไถ่แม้แต่คำเดียวก็พูดขึ้นอย่างอดไม่ไหว “บางทีคุณหนูของบ่าวอาจจะรอไม่ไหวแล้ว จึงล่วงหน้าไปเปลี่ยนชุดที่เรือนด้านข้างก่อน ที่หอเหวินเซียง ทางด้านหน้านั้นเองเจ้าค่ะ”
เฉินวั่งซูเหยียดมุมปากอย่างหมดคำจะกล่าว สมองของหงไถผู้นี้เหมือนไร้รอยหยัก ทักษะการแสดงแค่นี้ต้องเป็นคนทึ่มทื่อเพียงใดถึงจะรู้สึกว่านางมิได้มีเจตนาร้าย
ทว่าตนเองเป็นนักแสดงฝีมือดีผู้หนึ่ง นึกถึงคนที่เคยเล่นประกบกันในสมัยก่อน ปากนับแค่หนึ่งถึงเจ็ดนางยังสามารถแสดงบทร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมาได้อย่างเหลือเชื่อ แค่นี้นับเป็นอะไรกัน
“คุณหนูเจ้าคะ ข้าคือหงไถ คุณหนูรองมาแล้วเจ้าค่ะ”
หอเหวินเซียงแห่งนี้เป็นเรือนเล็กเรือนหนึ่ง อยู่ใกล้กับทะเลสาบยิ่ง ดูท่าทางน่าจะเป็นสถานที่หลบร้อนในฤดูร้อน ในลานเรือนปลูกต้นไผ่ไว้จำนวนมาก งอกงามเขียวชอุ่ม ยามลมโชยมาก็เกิดเสียงดังซ่าๆ
เฉินวั่งซูเบิกตาโตด้วยความประหลาดใจ เดินเข้าไปในป่าไผ่สองสามก้าว “ตายจริง มู่จิ่น เจ้าดูสิ ตรงนี้มีหน่อไม้ด้วย”
นางพูดพลางชายตามอง หงไถคนโง่งมผู้นั้นทำท่าโล่งใจแล้วเผ่นจากไปมิผิดจากที่คาด
มู่จิ่นที่ยืนอยู่ข้างกายนางเกาศีรษะ “คุณหนู จะให้บ่าวไปจับตัวนางกลับมาหรือไม่เจ้าคะ บ่าววิ่งเร็วยิ่ง”