บทที่ 12
เฉินวั่งซูรู้สึกว่าตนเองอัดอั้นตันใจอยู่บ้าง
หงเหนียงสาวใช้ในเรื่องบันทึกหอตะวันตก* นั่นที่สามารถเป็นแม่สื่อจับชายงามมาส่งให้พบกับคุณหนูได้เป็นคนเฉียบแหลมช่างเอาใจใส่ตั้งเท่าใด
แต่วกกลับมาดูสาวใช้จอมเซ่อผู้นี้ของนางสิ ไม่เห็นหรือว่านางเปลืองแรงไปมหาศาลกว่าจะสร้างโอกาสปลีกตัวอย่างราบรื่นให้หงไถผู้นั้นได้
หน่อไม้ไม่กี่หน่อมีอะไรน่าดูกัน เก็บกลับไปผัดกับเนื้อไม่ได้ อีกทั้งยังไม่ได้มีใบหน้าอันงดงามของเหยียนเจวี๋ยอยู่บนนั้นอีก
หงไถไม่ไป ความเหนื่อยยากของคนเหล่านั้นที่ล่อนางมาชมละครจะไม่เสียเปล่าไปสิ้นหรือไร
เฉินวั่งซูคิดพลางลุกขึ้นยืน ก่อนหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งมาเช็ดดินที่เปื้อนมือตอนที่สัมผัสหน่อไม้
มู่จิ่นเห็นแล้วก็ส่งเสียงร้องด้วยความตกใจ “คุณหนูมีผ้าเช็ดหน้าสีแดงสดปานนี้ตั้งแต่เมื่อไรเจ้าคะ ไม่เข้ากับชุดสีบัวขาบนี้เลย”
เฉินวั่งซูปัดมือ ก่อนจะยัดผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นใส่ในแขนเสื้ออย่างส่งๆ “อ้อ เมื่อครู่มือข้าสกปรก หงไถจึงนำมาให้ข้าใช้เช็ดมือ ข้าเองก็ไม่ได้คิดว่าตัวนางจะสมชื่อถึงขั้นนี้ แม้แต่ผ้าเช็ดหน้าก็ต้องใช้สีแดงตามชื่อ**”
มู่จิ่นส่ายศีรษะ นางไม่เข้าใจ ตนเองยังสาว สายตาก็ยังไม่ฝ้าฟางเสียหน่อย แต่ไฉนจึงไม่เห็นเลยว่าหงไถส่งผ้าเช็ดหน้าให้คุณหนูของตนเช็ดมือตั้งแต่เมื่อไร
เพราะถูกขัดจังหวะเช่นนี้หงไถจึงหนีหายไปอย่างไร้ร่องรอย
มู่จิ่นเห็นเฉินวั่งซูเดินไปทางประตูห้องหลักของหอเหวินเซียงแล้ว จึงโยนความข้องใจในสมองทิ้งไปแล้วกุลีกุจอตามไป ขณะเตรียมจะชิงไปเคาะประตูก็มองเห็นคุณหนูของตนเจาะกระดาษกรุหน้าต่างเป็นรูอย่างชำนิชำนาญ
จากนั้นก็เอาตัวแนบประตูพลางลอบมองผ่านรูนั้น
มู่จิ่นหันกายขวับมองไปข้างหลัง เคราะห์ดีที่ที่นี่มีคนน้อย ไม่มีใครผ่านมา มิเช่นนั้นเรื่องที่คุณหนูของนางมีพฤติการณ์ไม่งามเพียงนี้คงถูกเปิดโปงหมดสิ้น
นางคิดพลางโล่งอก พอหันหน้ากลับมากลับมองเห็นเฉินวั่งซูหัวเราะมีเลศนัย ล้วงท่อพ่นควันยาสลบออกมาจากในแขนเสื้อ ท่าทางนั้นเหมือนเป็นตัวร้ายตัวฉกาจบนเวทีการแสดงเลยทีเดียว
มู่จิ่นปิดปากโดยพลันด้วยกลัวตนเองจะส่งเสียงร้องออกมา
ครั้นสติเริ่มเข้าที่ก็ก้าวปานกระโดดไปแย่งท่อพ่นควันยาสลบมาจากมือของเฉินวั่งซู ก่อนจุดไฟด้วยอาการมือสั่น จากนั้นก็สอดเข้าไปในรูที่เจาะไว้เรียบร้อย ครั้นไฟเผาได้พอสมควรแล้วก็รีบเก็บกลับมา ซ่อน ‘หลักฐานความผิด’ ที่เหลือเข้าในแขนเสื้อด้วยอาการสั่นระริก
เฉินวั่งซูดีใจที่ไม่ต้องลงมือเอง นางกอดอกเงี่ยหูฟัง เพียงไม่นานที่ด้านในก็ไม่มีเสียงการเคลื่อนไหวแล้ว ทั้งลานเรือนได้ยินเพียงเสียงแมลงเป็นครั้งคราว
เฉินวั่งซูมองลอดรูนั้นเข้าไปแล้วก็ส่งเสียงยินดีออกมาทันควัน
นางรู้อยู่แล้วว่าหลิ่วอิงผู้นั้นล้มเหลวจากแผนการในป่าท้อก็จะต้องสำแดงฤทธิ์ครั้งที่สองอีกแน่นอน นี่คือเจตนาจะพลอดรักให้นางดูอย่างไรเล่า
แต่น่าเสียดายที่คนซึ่งพึงใจกันก่อนหน้านี้บัดนี้ได้นอนแน่นิ่งไม่ไหวติงอยู่บนเตียงในสภาพเหมือนหมูตายแล้ว
เฉินวั่งซูยืดตัวยืนตรง พอผลักเบาๆ ประตูก็เปิดออก
จริงดังคาด ประตูที่เจตนารอคนมาเปิดจะปิดสนิทได้อย่างไรเล่า
นางคิดพลางเดินเข้าไป มู่จิ่นที่ตามเข้าประตูมามองเห็นคนข้างในก็ร้องด้วยความตกใจในทันที “คุณหนู นี่มิใช่องค์ชายเจ็ดหรอกหรือเจ้าคะ”
เฉินวั่งซูทำท่าตบมืออย่างไม่แยแส ก่อนชี้หลิ่วอิงที่ฟุบอยู่บนกายองค์ชายเจ็ด “อย่าเพิ่งถามอะไร เจ้าแรงเยอะ อุ้มนางขึ้นมาแล้วยัดเข้าใต้เตียงเสีย”
มู่จิ่นพลันสะกดกลั้นโทสะในใจไว้ แล้วจับยัดตัวหลิ่วอิงเข้าไปอย่างไม่ทะนุถนอมตามคำสั่งของเฉินวั่งซู
เฉินวั่งซูมองดูพลางโคลงศีรษะ ก่อนย่อตัวลงดึงมือของหลิ่วอิงให้โผล่ออกมาเล็กน้อยเพื่อที่คนจะมาเหยียบได้สะดวก
“เช่นนี้ค่อยดีหน่อย ไปกันเถอะ”
นางพูดพลางเดินออกนอกห้อง มู่จิ่นรีบตามไปและปิดประตูไว้ให้เรียบร้อย
ลมพัดป่าไผ่เกิดเสียงเสียดสีเบาๆ
มู่จิ่นอดจะประหม่าขึ้นมาไม่ได้ แม้จะไม่กระจ่างว่าเป็นเรื่องอะไรกันแน่ แต่นางรู้ว่าวันนี้คุณหนูของนางเจอเรื่องเดือดร้อนแล้วแน่นอน หรือควรกล่าวว่านางจะก่อเรื่องใหญ่แล้วดี…
มู่จิ่นกำมือพลางมองที่พื้นก่อนหน้านี้ปราดหนึ่ง เมื่อเห็นว่าไม่มีร่องรอยควันยาสลบเหลือทิ้งไว้ถึงค่อยโล่งใจ